xs
xsm
sm
md
lg

ส.ว.-ปชป.จี้ยืดเวลาจัดทำ รธน. 240 วันออกไป ซัดส่งสัญญาณล้มศาล-องค์กรอิสระ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กมธ.แก้ รธน.เสียงข้างน้อยเสนอให้เพิ่มเวลาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่จาก 240 วันออกไป ชี้ไม่เพียงพอต่อการรับฟังความคิดเห็น ส.ว.เจตน์เสนอเป็น 300 วัน เพิ่มหมวดศาลยุติธรรม-องค์กรอิสระห้ามแตะ หวั่นการเมืองล้วงลูก รวมทั้งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาร่างแทนรัฐสภา ด้าน “เทพไท” เผยที่ผ่านมาไม่เคยใช้รัฐธรรมนูญอะไรก็ได้เป็นต้นแบบ ซัดหวังล้มมาตรา 309 “ธนา” ชี้ให้อำนาจรัฐสภาพิจารณาร่างหวังล้มองค์กรอิสระ วอน กมธ.เสียงข้างมากทบทวน


วันนี้ (3 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยมี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งเป็นการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... ต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 11 ซึ่งวันนี้เป็นการพิจารณาในมาตรา 291/11 ซึ่งมีทั้งหมด 6 วรรค

โดย กมธ.เสียงข้างมากมีการแก้ไขว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จะต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา 240 วัน นับแต่วันถัดจากวันประชุม ส.ส.ร.ครั้งแรก วรรค 2 ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญนั้น ส.ส.ร.อาจนำรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งที่เห็นว่ามีความเป็นประชาธิปไตยสูงมาเป็นต้นแบบในการยกร่างก็ได้ วรรค 3 การที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือมีการยุบสภาฯ ไม่เป็นเหตุกระทบกระเทือนการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ร.ตามวรรคหนึ่ง วรรค 4 ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ส.ส.ร.ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในทั่วทุกภูมิภาคด้วย วรรค 5 ร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงการแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์จะกระทำมิได้ และวรรค 6 ในกรณีที่รัฐสภาวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญมีลักษณะตามวรรค 5 ให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไป

โดยสมาชิกส่วนใหญ่มีการแปรญัตติไว้หลายวรรค ส่วนใหญ่ให้มีการแก้ไขระยะเวลาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้นจากเดิม 240 วัน เพราะเห็นว่าเวลาไม่เพียงพอต่อการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ นอกจากนี้ ให้เพิ่มหมวดศาลยุติธรรม และหมวดองค์กรอิสระ นอกเหนือจากหมวดพระมหากษัตริย์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขจะกระทำมิได้เพิ่มเติมขึ้นมา รวมทั้งยังเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญที่ ส.ส.ร.เป็นผู้จัดทำ แทนการให้รัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัยตามร่างของ กมธ.ที่มีการแก้ไข

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย สงวนคำแปรญัตติว่า เสนอให้เพิ่มระยะเวลาจาก 240 วัน เป็น 300 วัน เพื่อให้ ส.ส.ร.ได้ออกไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนจริงๆ และเสนอให้เพิ่มหมวดศาลยุติธรรม และหมวดองค์กรอิสระ นอกเหนือจากหมวดพระมหากษัตริย์ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขจะกระทำมิได้เพิ่มเติมขึ้นมา

“ผมจะตามดูว่าในความหมายที่ท่านไม่แตะหมวด 1 คือเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ และหมวด 2 คือหมวดพระมหากษัตริย์จะไม่มีการแก้ไขจริงหรือไม่ การที่รัฐบาลไม่ได้ระบุว่าห้ามแก้ไข คนส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าอาจจะกระทบหรือเปลี่ยนแปลงระบบยุติธรรม เพระมีข่าวลือมากมายว่าประธานศาลฎีกาต้องแต่งตั้งโดยประธานรัฐสภา การยุบศาลรัฐธรรมนูญ หรือการยุบผู้ตรวจการแผ่นดิน” นพ.เจตน์กล่าว

นพ.เจตน์กล่าวว่า โดยหลักการการถ่วงดุลต้องแยกออกจากกัน แต่เมื่อใดที่ฝ่ายบริหารแทรกแซงระบบยุติธรรมได้ ดุลอำนาจจะเสียไป สถาบันศาลเป็นอำนาจสุดท้ายที่ประชาชนยังมีความเชื่อมั่นอยู่ จึงไม่ต้องการให้แตะหมวด 10 และหมวด 11 เพราะปัจจุบันขนาดมีองค์กรอิสระตรวจสอบมากมาย แต่ยังไม่สามารถสร้างความเกรงกลัวต่อนักการเมืองในการใช้อำนาจมิชอบ มีการทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้น ถ้ารัฐธรรมนูญถูกแก้แล้ว อำนาจการตรวจสอบลดลงโดยการออกแบบของ ส.ส.ร. จึงเป็นห่วงว่าการประพฤติทุจริตของนักการเมืองจะมีมากขึ้น จึงเชื่อว่าไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ควรจะเปลี่ยนจากให้รัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ เป็นให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น หากให้รัฐสภาเป็นผู้ตีความด้วยระบบ ด้วยเสียงข้างมากซึ่งไม่สามารถชี้ถูกผิดได้ หรือชี้ปมของข้อกฎหมายได้ ในกรณีนี้จึงเห็นควรเป็นศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ตีความจะดีกว่า

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย แปรญัตติว่า การที่ร่างของ กมธ.เสนอให้ใช้เวลา 240 วันในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญนั้น เห็นอยู่แล้วว่าเวลาไม่พอ เพราะกระบวนการต่างๆ ที่ ส.ส.ร.ต้องทำมีเยอะ กว่า ส.ส.ร.จะประชุม กว่าจะไปรับฟังความเห็น ทำประชาพิจารณ์ ระยะเวลาเพียง 240 วันไม่เพียงพออย่างแน่นอน จึงเสนอให้ใช้ระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ ตนขอให้ตัดวรรค 2 ที่กำหนดว่าให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใดมาเป็นต้นแบบในการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ก็ได้ออกทั้งหมด เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาที่มีการร่างรัฐธรรมนูญไม่เคยมีการเขียนไว้แบบนี้

“การเสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใดก็ได้มาเป็นต้นแบบ เพื่อหวังที่จะล้มรัฐธรรมนูญปี 50 ล้มมาตรา 309 ถ้าไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่สามารถล้มมาตรา 309 ได้ เพราะการแก้ไขเฉพาะมาตรา 309 ก็เป็นการส่อเจตนาใครบางคนที่ติดคดีอยู่ ดังนั้น จึงต้องหาวิธีการล้มทั้งฉบับ ตัดมาตรา 309 ออกไป เจตนามีเพียงเท่านี้เอง หรือมีเจตนาชี้ช่องให้ ส.ส.ร.เห็นว่าเอารัฐธรรมนูญที่ตัวเองต้องการขึ้นมาตัดต่อ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงและประกาศใช้โดยเร็วเพื่อล้มรัฐธรรมนูญปี 50 ยกเลิกมาตรา 309 เท่านั้น” นายเทพไทกล่าว

นายเทพไทกล่าวอีกว่า ในส่วนวรรค 5 ถ้าบริสุทธิ์ใจก็ไม่ต้องเขียนเลย เพราะในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เคยมีการเขียนไว้ ถ้าเป็นไปได้ตนจะเสนอให้ไม่แตะมาตรา 309 ด้วยซ้ำ การที่เขียนวรรคนี้ขึ้นมา เพราะมีความหวาดระแวงคนบางกลุ่ม เพราะนับวันมีกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมจาบจ้วงเบื้องสูงมากขึ้น ดูได้จากเว็บไซต์ โดยเฉพาะปัจจุบันมีมากที่สุด การไปจัดการกับเว็บไซต์ทำได้น้อยมาก แต่หากเป็นเว็บไซต์อื่นๆ ที่ไปพาดพิงรัฐบาลหรือตัวนายกฯ จัดการทันทีเลย ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเมื่อปี 53 มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกว่าพันคดี ดังนั้น หากรัฐบาลมีความจริงใจ จริงจังในการดำเนินคดีกับการละเมิดสถาบัน ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนวรรค 5 ขึ้นมา

นายธนา ชีรวนิช ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การให้อำนาจรัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นหรือไม่ว่ามีความต้องการที่จะยกเลิกองค์กรอิสระต่างๆ ตามที่หลายคนวิตกกังวล เพราะเท่ากับว่าต่อไปนี้ไม่ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ได้ แค่รัฐสภาอย่างเดียวก็ตีความได้ และเมื่อร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ทำเสร็จ ประเด็นนี้ก็จะถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อไม่มีศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะอ้างว่ามีการกำหนดให้รัฐสภามีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องต่างๆ ที่มีข้อสงสัย จึงอยากให้กรรมาธิการเสียงข้างมากทบทวนอีกครั้ง











กำลังโหลดความคิดเห็น