ASTVผู้จัดการรายวัน-แรงงานไทยหนี้พุ่ง ทะลุครอบครัวละ 9 หมื่นบาท เหตุต้องกู้มาใช้จ่าย ซื้อบ้าน ซื้อรถ ส่วนการขึ้นค่าแรงวันละ 300 วัน ก็ยังไม่พอยาไส้ เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว แถมเสี่ยงตกงาน หวั่นนายจ้างหันใช้แรงงานต่างด้าวแทน ส่วนวันแรงงาน 1 พ.ค.ปีนี้ คาดเงินสะพัด 1.7 พันล้านบาท
นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานภาพแรงงานไทย ที่สำรวจจากอาชีพรับราชการ รับจ้าง พนักงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ทั่วประเทศ 1,198 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-23 เม.ย.2555 ว่า ผู้ตอบถึง 89.9% ระบุว่ามีภาวะหนี้สิน ส่วนอีก 10.2% ระบุไม่มี โดยหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 91,710.08 บาท ผ่อนชำระต่อเดือนที่ 5,773.47 บาท ซึ่งทั้งภาระหนี้สิน และการผ่อนชำระต่อเดือนสูงที่สุดนับตั้งแต่ศูนย์ฯ เริ่มสำรวจสถานภาพแรงงานไทยเมื่อปี 2552 ที่มีหนี้สินต่อครัวเรือน 87,399.02 บาท และผ่อนชำระต่อเดือนที่ 5,080.23 บาท
นอกจากนี้ ผู้ตอบมากถึง 79.1% ระบุมีปัญหาในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 อีกเช่นกันที่มีปัญหาผ่อนชำระที่ 69.9% โดยหนี้สินเกิดจากการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายประจำวันมากที่สุด รองลงมาเป็นกู้เพื่อซื้อยานพาหนะ ซื้อที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล และลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ตอบมากถึง 63.9% ระบุว่ายังมีเงินออม แต่เป็นจำนวนที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่การสำรวจปี 2552 ที่ผู้ตอบมากถึง 95% ระบุมีเงินออม แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบมีการก่อหนี้เพิ่ม ไม่มีเงินเหลือเก็บ และบางส่วนนำเอาเงินออมออกมาใช้จ่าย
ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทใน 7 จังหวัด ผู้ประกอบการปรับขึ้นในรูปแบบใด ผู้ตอบมากถึง 41.3% ระบุว่าให้เงินสดเต็มจำนวนค่าแรงขั้นต่ำ และให้สวัสดิการอื่น แต่อีก 24.1% ระบุให้เงินสดเต็มจำนวน แต่ลดสวัสดิการ ส่วนอีก 10.7% ระบุให้เงินสดเต็มจำนวน แต่ให้ทำงานมากกว่าปกติ อีก 17.2% ระบุให้เงินสดเต็มจำนวน แต่ไม่มีสวัสดิการอื่นให้ และ 5.7% ระบุให้เงินน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ อีกทั้งผู้ตอบ 88.1% ระบุว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีโอกาสให้นายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวมากขึ้น ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่เป็นห่วงเรื่องนี้มาก
"การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่า เงินที่เพิ่มขึ้นนั้น มีส่วนน้อยมากที่ช่วยให้เป็นหนี้น้อยลง หรือมีเงินออมเพิ่มขึ้น หรือทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่กลับทำให้การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเห็นว่าควรจะมีการปรับเพิมค่าแรงขั้นต่ำอีกตามภาวะค่าครองชีพ โดยในอีก 3 ปีข้างหน้า ค่าแรงควรจะอยู่ที่เฉลี่ยวันละ435 บาท และอีก 5 ปีข้างหน้าเฉลี่ยที่ 546 บาท แต่ในปัจจุบันควรอยู่ที่วันละ 356.68 บาท ไม่ใช่ 300 บาท"นางยาใจกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจในครั้งนี้ ยังพบว่า แรงงานมีความพึงพอใจต่อนโยบายด้านแรงงานของรัฐบาลชุดนี้ในปีที่ผ่านมา 6.7 คะแนนจากเต็ม 10 ส่วนการประเมินการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดแรงงาน 1 พ.ค.นี้ คาดจะมีเงินสะพัด 1,796.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.53% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 ที่มีเงินสะพัด 1,488.59 ล้านบาท โดยจะไปเที่ยวห้างมากสุดถึง 42.7% ตามด้วยไปสวนสนุก 25% ไปดูหนัง 21.7% ทำบุญ 17.4% ท่องเที่ยว 13.5% สังสรรค์ 9.1% เป็นต้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แรงงานส่วนใหญ่ชอบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น จึงต้องการให้รัฐบาลขึ้นค่าแรงให้อีก และยังมีความกังวลว่านายจ้างจะใช้แรงงานต่างด้าวแทน อีกทั้งยังไม่มั่นใจว่าตกงานในอนาคตหรือไม่ จึงยังไม่กล้าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น รัฐบาล และนายจ้างควรสร้างความมั่นใจ เพื่อให้แรงงานมั่นใจใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ทำให้ลูกจ้างมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น 70,000-80,000 ล้านบาท มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.5% และน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 5.5-6.5% ตามที่ศูนย์ฯ ได้คาดการณ์ไว้
นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานภาพแรงงานไทย ที่สำรวจจากอาชีพรับราชการ รับจ้าง พนักงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ทั่วประเทศ 1,198 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-23 เม.ย.2555 ว่า ผู้ตอบถึง 89.9% ระบุว่ามีภาวะหนี้สิน ส่วนอีก 10.2% ระบุไม่มี โดยหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 91,710.08 บาท ผ่อนชำระต่อเดือนที่ 5,773.47 บาท ซึ่งทั้งภาระหนี้สิน และการผ่อนชำระต่อเดือนสูงที่สุดนับตั้งแต่ศูนย์ฯ เริ่มสำรวจสถานภาพแรงงานไทยเมื่อปี 2552 ที่มีหนี้สินต่อครัวเรือน 87,399.02 บาท และผ่อนชำระต่อเดือนที่ 5,080.23 บาท
นอกจากนี้ ผู้ตอบมากถึง 79.1% ระบุมีปัญหาในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 อีกเช่นกันที่มีปัญหาผ่อนชำระที่ 69.9% โดยหนี้สินเกิดจากการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายประจำวันมากที่สุด รองลงมาเป็นกู้เพื่อซื้อยานพาหนะ ซื้อที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล และลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ตอบมากถึง 63.9% ระบุว่ายังมีเงินออม แต่เป็นจำนวนที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่การสำรวจปี 2552 ที่ผู้ตอบมากถึง 95% ระบุมีเงินออม แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบมีการก่อหนี้เพิ่ม ไม่มีเงินเหลือเก็บ และบางส่วนนำเอาเงินออมออกมาใช้จ่าย
ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทใน 7 จังหวัด ผู้ประกอบการปรับขึ้นในรูปแบบใด ผู้ตอบมากถึง 41.3% ระบุว่าให้เงินสดเต็มจำนวนค่าแรงขั้นต่ำ และให้สวัสดิการอื่น แต่อีก 24.1% ระบุให้เงินสดเต็มจำนวน แต่ลดสวัสดิการ ส่วนอีก 10.7% ระบุให้เงินสดเต็มจำนวน แต่ให้ทำงานมากกว่าปกติ อีก 17.2% ระบุให้เงินสดเต็มจำนวน แต่ไม่มีสวัสดิการอื่นให้ และ 5.7% ระบุให้เงินน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ อีกทั้งผู้ตอบ 88.1% ระบุว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีโอกาสให้นายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวมากขึ้น ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่เป็นห่วงเรื่องนี้มาก
"การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่า เงินที่เพิ่มขึ้นนั้น มีส่วนน้อยมากที่ช่วยให้เป็นหนี้น้อยลง หรือมีเงินออมเพิ่มขึ้น หรือทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่กลับทำให้การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเห็นว่าควรจะมีการปรับเพิมค่าแรงขั้นต่ำอีกตามภาวะค่าครองชีพ โดยในอีก 3 ปีข้างหน้า ค่าแรงควรจะอยู่ที่เฉลี่ยวันละ435 บาท และอีก 5 ปีข้างหน้าเฉลี่ยที่ 546 บาท แต่ในปัจจุบันควรอยู่ที่วันละ 356.68 บาท ไม่ใช่ 300 บาท"นางยาใจกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจในครั้งนี้ ยังพบว่า แรงงานมีความพึงพอใจต่อนโยบายด้านแรงงานของรัฐบาลชุดนี้ในปีที่ผ่านมา 6.7 คะแนนจากเต็ม 10 ส่วนการประเมินการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดแรงงาน 1 พ.ค.นี้ คาดจะมีเงินสะพัด 1,796.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.53% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552 ที่มีเงินสะพัด 1,488.59 ล้านบาท โดยจะไปเที่ยวห้างมากสุดถึง 42.7% ตามด้วยไปสวนสนุก 25% ไปดูหนัง 21.7% ทำบุญ 17.4% ท่องเที่ยว 13.5% สังสรรค์ 9.1% เป็นต้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แรงงานส่วนใหญ่ชอบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น จึงต้องการให้รัฐบาลขึ้นค่าแรงให้อีก และยังมีความกังวลว่านายจ้างจะใช้แรงงานต่างด้าวแทน อีกทั้งยังไม่มั่นใจว่าตกงานในอนาคตหรือไม่ จึงยังไม่กล้าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้น รัฐบาล และนายจ้างควรสร้างความมั่นใจ เพื่อให้แรงงานมั่นใจใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ทำให้ลูกจ้างมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น 70,000-80,000 ล้านบาท มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.5% และน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 5.5-6.5% ตามที่ศูนย์ฯ ได้คาดการณ์ไว้