ปชป.ฝากรัฐบาลดูแลแรงงานแนะสานต่อนโยบาย ปชป. ส่งเสริมศักยภาพแรงงานไทย สู่ตลาดโลก-คุมแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย เรียกร้อง รบ.ตรวจสอบทุจริตจำนำข้าว แฉ รถ ตร.คว่ำที่พัทลุง ที่แท้นำขบวน “เด็จพี่” ถามมีสิทธิ์อะไรใช้รถราชการ เตรียมยื่นถอดถอน ฟ้องแพ่ง-อาญา ฐานแทรกแซงและทำของหลวงเสียหาย
วันนี้ (30 เม.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า วันที่ 1 พ.ค.ซึ่งเป็นวันแรงงานแห่งชาติ อยากฝากรัฐบาลดูแลแรงงานทั่วประเทศ ติดตามทวงสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน คือ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททันทีทั่วประเทศ เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วต้องทำตามสัญญา อย่าให้เกิดความลำเอียง ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาลยังขาดการเอาใจใส่สวัสดิการแรงงาน สวัสดิการสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่แรงงานไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกระบบควรจะได้รับ ซึ่งอยากให้รัฐบาลนำสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้วางรากฐานไว้ไปปฏิบัติต่อ ประกอบด้วย 1. ดำเนินการให้แรงงานทั้งในและนอกระบบได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงานไทย โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยทางชีวะอนามัย และการจ้างงาน 2. จัดให้มีสถานดูแลเด็กอ่อนในสถานประกอบการ 3. ปฏิรูประบบประกันสังคมให้มีความเข้มแข็ง ขยายความคุ้มครองถึงบุตร และคู่สมรสของแรงงาน 4.ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรม พัฒนาแรงงานให้มีความรู้ เพิ่มประสิทธิผล และประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานไทย
นายชวนนท์กล่าวอีกว่า เนื่องจากการที่รัฐบาขึ้นค่าแรง 300 บาท ทำให้มีการทะลักของแรงงานต่างด้าว จึงขอขอเรียกร้องให้รัฐบาลจักระบบการจ้างแรงงานต่างด้าวให้มีความสอดคล้องกับความต้องการ ไม่กระทบต่การจ้างแรงงานไทย และความมั่งคงของประเทศ โดยจำแนกประเภทที่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวดำเนินการได้ และเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมให้แรงงานไทยแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ พัฒนาขีดความสามารถส่งออกแรงงานไทยที่มีคุณภาพไปยังประเทศที่มีมาตรฐานการจ้างแรงงานที่ดี โดยเฉพาะในอีก 3 ปีข้างหน้าไทยจะเข้าสู่เวทีประชาคมอาเซียน ขณะนั้นแรงงานถูก ไม่ว่าจะเป็นแรงงานจากลาว กัมพูชา จะทะลักเข้ามาในไทย ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพแรงงานของไทยเพื่อแข่งขันกับแรงงานจากประเทศอื่นๆ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น นอกจากนั้นขอเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหมวดหมู่ แรงงานแต่ละประเภท ในแต่ละวัย
“เมื่อรัฐบาลขึ้นค่าแรง 300 บาท สิ่งที่จะตามมาทั่วประเทศนั้น อยากให้รัฐบาลดูเรื่องของผลกระทบค่าครองชีพที่เกิดขึ้น เพราะ จากผลสำรวจแรงงานส่วนใหญ่ตอบเป็นเสียงเดียวว่า การขึ้นค่าแรงไม่ได้ประโยชน์กับตัวแรงงานสักเท่าไร เนื่องจากนายจ้างมีการลดสวัสดิการ เลิกจ้าง ย้ายฐานการผลิต สุดท้ายไม่ได้เมีการเปลี่ยนแปลงตามมา อยากให้ท่านพิจารณาผลกระทบด้านอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นกับแรงงานเหมือนขณะนี้ด้วย ดังนั้นรัฐบาลต้องเอาจริงเอาจัง และหามาตรการแก้ไข” นายชวนนท์กล่าว
นายชวนนท์แถลงถึงกรณีการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่านโยบายรับจำนำข้าวที่ผ่านมาไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อชาวนา หรือคนจนเลย แต่กลับสร้างประโยชน์ให้นายทุนและพ่อค้ามากกว่า สร้างความสูญเสียมหาศาลให้แก่ประเทศ ซึ่งสร้างความเสียหาย ขาดทุนการค้าข้าวของไทยนับ 4 แสนล้านบาท เป็นจำนวนที่มากกว่าเงินที่กู้มาแก้ไขปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นรัฐบาลรับจำนำข้าวกับพ่อค้าในราคาสูง และไม่สามารถปล่อยข้าวออกมาขายในตลาดได้ สุดท้ายงุบงิบขายในราคาต่ำกว่ารัฐบาลรับซื้อ 15,000 บาท ทั้งนี้มีแหล่งข่าวระบุว่ามีนักการเมืองในรัฐบาลวิ่งเร่เสนอขายข้าวในสต๊อก ขณะนี้ข้าวในสต๊อกมีตัวเลขสูงถึง 4.5 ล้านตัน ถ้าขาดทุนตันละ 5 พันบาท เป็นจำนวน 2หมื่นกว่าล้านบาท เงินตรงนี้จะเข้ากระเป๋าพ่อค้า นายทุน จึงอยากให้รัฐบาลลงไปดูว่าขณะนี้มีกระบวนการดังกล่าวหรือไม่
นายชวนนท์กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ผู้ประมูลข้าวให้กับประเทศอินโดนีเซีย คือ บริษัท สยามอินดิก้า ซึ่งล็อตแรกที่จะต้องส่งขายให้แก่ประเทศอินโดนีเซีย 3 แสนตัน แต่ล็อตแรกส่งไป 7หมื่นตัน เอาข้าวในสต๊อกของรัฐบาลไประบาย จริงหรือไม่ที่บริษัทนี้ส่งออกไปแล้ว แต่รัฐบาลอินโดนีเซียปฏิเสธ เนื่องจากคุณภาพข้าวตกต่ำ จนต้องนำข้างล๊อตใหม่ส่งไปให้ จึงต้องนำข้าวล๊อตคุณภาพต่ำส่งไปขายยังทวีปแอฟริกาแทน จึงอยากให้รัฐบาลตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากขณะนี้เราสูญเสียราคาข้าว จากราคาที่สูงขึ้น การที่ไทยเสียตลาดโลกไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่คุณภาพ เมื่อเราเสียคำพูดลูกค้าไปการจะดึงกลับมายาก เพราะขณะนี้เวียดนาม และอินเดียเดินหน้าเต็มที่ที่จะเป็นผู้ค้าข้าวอันดับหนึ่งของโลก
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวพร้อมนำภาพถ่ายรถตำรวจซึ่งเป็นรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน ชผ 1377 กทม. ที่ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ จ.พัทลุง มาแสดงต่อสื่อมวลชน พร้อมระบุว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถตำรวจที่นำขบวนนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่เปิดงานที่เกาะปันยี แล้วประสบอุบัติเหตุ ทำให้ ด.ต.วิรัตน์ ดำคำชู เป็นพลขับ ซึ่งได้รับบาดเจ็บ และหมดสติ ดังนั้น คำถามที่ต้องถามว่านายพร้อมพงศ์เป็นใครถึงมีสิทธิ์ใช้รถตำรวจนำได้ และได้รับการร้องเรียนว่านายพร้อมพงศ์ทำอย่างนี้หลายครั้งแล้ว การเดินทางแต่ละครั้งจะมีรถตำรวจนำเป็นฝูง แต่ครั้งนี้เกิดเหตุขึ้น ก็ต้องถามว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริง นายพร้อมพงศ์ต้องตอบว่าใช้อำนาจอะไรในการใช้รถราขการในการทำงานส่วนตัว มีการขออนุญาตหรือไม่
นายชวนนท์เตรียมจะยื่นเรื่องให้กับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบ ว่าใครอนุญาตให้รถคันดังกล่าวให้บริการแก่โฆษกพรรคได้ เพราะถ้าได้ตนจะได้ขอบ้าง และก็จะพิจารณายื่นถอดถอนนายพร้อมพงศ์ ตามมาตรา 261 ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นการแทรกแซงการทำงานราชการเหมือนกรณีการแจกถุงยังชีพ เพราะการที่นำของหลวงมาใช้ในภารกิจส่วนตัว และทำให้เกิดความเสียหาย สามารถดำเนินการได้ โดยทีมกฎหมายประชาธิปัตย์จะลงไปตรวจสอบนพื้นที่ว่าผู้ที่ต้องชดใช้คือใคร และหากพบว่าเกิดความเสียหาย เราก็จะพิจารณาฟ้องทางแพ่งและอาญาต่อนายพร้อมพงศ์ด้วย