ผ่าประเด็นร้อน
ในช่วง เสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมาหลายคนอาจเพ่งสายตาไปที่การเลือกตั้งที่ปทุมธานี ทั้งการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.และการเลือกตั้งท้องถิ่น คือ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผลก็ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายตรงข้ามยับเยิน ซึ่งผลจากการเลือกตั้งดังกล่าวยังส่งผลกระเพื่อมต่อเนื่องไปถึงเรื่องอื่นๆ เป็นลูกระนาด
จากนั้นถัดมาถึงวันนี้ (26 เมษายน) ก็ต้องมาเจออีกดอกใหญ่ นั่นคือภาพที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของทักษิณ ชินวัตร นำคณะรัฐมนตรีแม้ว่าจะลดขนาดเหลือเพียงระดับแค่รองนายกรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คน เพื่อลดภาพความ “บาดตา” บาดใจให้มากที่สุดแล้วก็ตาม แต่ในความหมายสำหรับ “คนกันเอง” แล้วมันอธิบายยาก และรับรองว่า “ความรู้สึก” มันย่อมไม่เหมือนเดิมแน่นอน
แน่นอนว่า “การปรองดอง” การให้อภัย เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต้องการ และอยากให้เกิดขึ้นมานานแล้ว พิสูจน์ได้จากผลสำรวจทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือ โพลล์รับจ้างล้วนแล้วแต่ออกมาตรงกันนั่นคือ อยากให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
แต่ความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าใครก็ย่อมมองออกว่านี่คือ “ของปลอม” เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อหวังผลบางอย่างในวันหน้า ซึ่งก็ “เป็นเรื่องส่วนตัว” หากกล่าวตรงไปตรงมาก็คือ “เพื่อทักษิณ” เพียงคนเดียวเท่านั้น
เพราะสิ่งที่ที่หลายคนต้องการ รวมทั้งฝ่ายที่ได้รับความสูญเสียโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายครอบครัวของคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมไปถึงคนในสังคมอื่นๆ ต่างมีความเห็นตรงกัน คือ อยากให้มีการค้นหาความจริงผ่านทางกระบวนการยุติธรรม เมื่อได้ข้อยุติว่าใครคือผู้กระทำผิด เข่นฆ่าประชาชน มีหรือไม่มีก็ต้องได้ข้อยุติด้วยกระบวนการดังกล่าว จากนั้นค่อยมาว่ากันต่อว่าจะมีการให้อภัยปรองดอง เยียวยาช่วยเหลือ ทุกคนหวังให้เป็นแบบนี้ เพราะมันแฟร์และยุติธรรมกับทุกฝ่าย
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ทักษิณ ชินวัตร กลับไม่ต้องการแบบนี้ กลับแสดงท่าทางพิลึกพิลั่นเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเลิกแล้วต่อกัน ให้อภัยกัน รวมไปถึงเรียกร้องให้ครอบครัวของคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมไปถึงพวกที่ติดคุกอยู่ทั่วประเทศจากการปลุกระดมของเขาให้ลืม ให้เสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่คำถามก็คือใครคือคนส่วนใหญ่ ทักษิณ กับพวกหรือคือคนส่วนใหญ่ที่สังคมต้องเสียสละให้ และถามอีกว่าที่ผ่านมาครอบครัวของทักษิณ เคยสละอะไรบ้าง ที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์ชุมนุมแดงเดือดก็เห็นแต่คนในครอบครัวชินวัตรพร้อมใจกันมาโผล่หัวข้างเวทีโบกไม้โบกมือให้ม็อบ จากนั้นเมื่อสถานการณ์จลาจลคนพวกนี้ก็เผ่นหนีออกนอกประเทศทุกที เมื่อเรื่องเงียบค่อยย่องกลับเข้ามา อย่างนี้หรือคือการเสียสละ
ก็เพราะสังคมมองออกว่ามัน “ไม่เป็นธรรมชาติ” เป็นการสร้างภาพปรองดองบังหน้าแบบเอาเปรียบเพื่อหวังกินรวบคนเดียวเท่านั้น
หากพิจารณาที่มาที่ไปสำหรับการเร่งรัดปรองดองแล้ว เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของทักษิณมาอย่างต่อเนื่องน่าจะพอเข้าใจดี เนื่องจากสถานการณ์รอบข้างไม่เป็นใจ ทุกอย่างเริ่มเป็นลบ นับวันมีแต่คนรู้ทัน อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามเริ่มมีการปรับตัวสู้ในทุกกระบวนท่าเช่นเดียวกัน
เริ่มจากผลงานรัฐบาลที่นับวันมีแต่เรื่องล้มเหลว ประชานิยมก็เริ่มย้อนกลับมาหาตัว แม้แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 เมษายนเพิ่งคลอดนโยบาย “พักหนี้” สำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 5 แสน ฟังดูเผินๆ น่าจะดี แต่เดี๋ยวก่อนนั่นเป็นการพักหนี้ให้เฉพาะลูกหนี้ชั้นดีที่สามารถกัดฟันส่งค่าดอก-ต้นครบทันกำหนดซึ่งก็ถือว่าคนพวกนี้ยังดำเนินชีวิตได้ตามปกติอยู่แล้ว แม้ว่าอาจลำบากบ้างก็ตาม แต่พวกที่อยากให้ช่วยก็คือ พวกที่ติดหนี้บัตรเครดิต มีบัญชีดำในเครดิตบูโร หรือพวกที่กู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยมหาโหด คนพวกนี้ขยับไปไหนไม่ได้ กลับไม่มีการสะสาง
ขณะที่นโยบายอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง ล้มเหลวทุกเรื่อง ข้าวของแพงกระฉูด ประกอบกับ น้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ส่งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถูกสังคมจับได้แล้วว่า “กลวง” กลายเป็นตัวตลก
ส่วนพวกเสื้อแดงด้วยกันเอง เมื่อเวลาผ่านไปบรรยากาศการต่อสู้จืดจางการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัวในหมู่หัวโจกก็มีให้เห็นอยู่ทุกวัน สร้างความรำคาญให้ชาวบ้านไปทั่ว หากบอกว่าการเลือกตั้งที่ปทุมฯ พรรคเพื่อไทยแพ้เพราะคนเสื้อแดงต้องการสั่งสอนนั้นและคนไปใช้สิทธิน้อย มันก็มีส่วนจริง เพราะถ้าคนไปใช้สิทธิมากกว่านี้จะแพ้ขายหน้ากว่านี้หรือไม่มันก็น่าคิด ขณะเดียวกัน เมื่อไปพิจารณาจากสนามเลือกตั้งท้องถิ่นอื่นๆ อีกหลายพื้นที่ก็ปรากฏเห็นการแตกแยกในบรรดาคนเสื้อแดง มีการเปิดโปง อีกทั้งพฤติกรรมที่ผ่านมาก็มีความ “กร่าง” จนชาวบ้านรำคาญ แต่ต้องเก็บกดเรื่อยมา เมื่อมีโอกาสก็แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีอีกหลายแห่งแต่ไม่เป็นข่าวที่ผู้สมัครที่แสดงออกว่าคนเสื้อแดงและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยสนับสนุนพ่ายแพ้แก่ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ตรงกลาง หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์เมื่อช่วงสงกรานต์ที่คนพวกนี้ยกขบวนไปสรรเสริญเยินยอ ฮุน เซน ถึงเขมร นั้นทำให้คนไทยที่เคยเรียนประวัติศาสตร์จะต้องเจ็บปวดรับไม่ได้แน่นอน
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ตั้งหน้าตั้งตาอยู่ แต่การเอาใจใส่ทำงานรับใช้ทักษิณเพียงคนเดียว ดังจะเห็นได้จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้งที่มันไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย และคิวต่อไปก็คือการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งนาทีนี้ไม่ต้องมาปฏิเสธกันแล้ว เพราะสังคมรู้แล้วว่ากำลังทำเพื่อไทย
หรือแม้แต่ล่าสุดวันนี้ (26 เมษายน) เป็นวันที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำทีมรองนายกฯ เข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่บ้านสี่เสาฯ มันย่อมทำให้คนเสื้อแดงไม่น้อยต้องเจ็บปวดเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะก่อนหน้านี้ ทักษิณ เป็นคนสั่งให้บรรดาหัวโจกด่าทอ พล.อ.เปรม หยาบคายไม่มีชิ้นดี และตัวเขาก็กล่าวหาว่าเป็น “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” เป็นสัญลักษณ์ “อำมาตย์” แต่จู่ๆ ก็มาให้ความเคารพเทิดทูนหน้าตาเฉย มันก็แปลก และ “ไม่เนียน” แต่อีกด้านหนึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงความ “เจ้าเล่ห์คบไม่ได้”
ดังนั้น ถ้าให้ประมวลเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าล้วนแล้วแต่เป็นผลลบต่อ ทักษิณ ชินวัตรทั้งสิ้น ตั้งแต่ผลงานรัฐบาลที่ห่วยแตก ไม่สมราคาคุย สังคมจับได้ไล่ทันว่าแท้จริงแล้วมันมีแต่วาระซ่อนเร้น ซึ่งเชื่อว่าเขาก็เห็นสัญญาณไม่ดีดังกล่าว เชื่อว่าหากปล่อยไว้นานโอกาสก็ยิ่งปิด ทำให้ต้องเล่นหลายหน้า ทางหนึ่งเร่งรวบรัดแก้กฎหมายล้างความผิด ขณะเดียวกันก็หวังลึกๆ ว่า “ป๋าเปรมจะช่วยเขาได้” จึงต้องหันหน้ากัดฟันปรองดองรอบทิศเพื่อเอาตัวรอด แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้สังคมและพวกเดียวกันที่เคยศรัทธาได้เห็นธาตุแท้มากขึ้นเรื่อยๆ!!