xs
xsm
sm
md
lg

ฝันค้างประชานิยม “ยิ่งลักษณ์-ยิ่งเละ-ยิ่งพัง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อาจเป็นความโชคร้ายที่มีเรื่องดีๆ ปนเปหลงเหลืออยู่บ้าง สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ระดับ 8.9 ริกเตอร์ เหนือเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 11 เม.ย. จนศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติต้องประกาศเตือน 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันของไทยให้เร่งอพยพผู้คนขึ้นไปอยู่บนที่สูงเป็นการด่วน

นับว่าบุญบารมีของประเทศไทยยังมีอยู่ล้นเหลือ ทำให้แผ่นดินไหวรุนแรงระดับนี้ ส่งผลกระทบกับดินแดนด้านขวามแค่เพียงเล็กน้อย ไม่ซ้ำรอยเหมือนปี 2547 ที่ภาพความสูญเสียยังคงหลอกหลอนอยู่ในความรู้สึกของคนไทย

นอกจากความโชคดีที่ประชาชนคนไทยจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากมหันตภัยร้ายแล้ว กลับยังส่งผลให้ขบวนการกระทำชำเรา “รัฐธรรมนูญปี 50” ที่กำลังใส่เกียร์ห้าเดินหน้า “รื้อ-ฉีก” ในขั้นที่หนึ่งต้องหยุดชะงักลงไปชั่วคราว หลังเป้าหมายเดิม ต้องการจะใช้เสียงข้างมาก รวบรัดวาระที่ 2 ให้เสร็จสิ้นภายใน 2 วัน เพื่อทันต่อการหยิบเอาผลงานชิ้นโบแดง เหน็บกระเป๋าเอาไปโชว์ “นายใหญ่” ที่ชะเง้อคอคอยอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ลาวและกัมพูชา ให้ชื่นอกชื่นใจ ได้ฉลองในช่วงเทศกาลสงกรานต์

แม้ที่สุดแล้ว เสียงข้างน้อยในสภาจะไม่สามารถทัดทานอำนาจเสียงข้างมากของเหล่าพลพรรคเพื่อไทยได้ก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ สิ่งที่เป็นผลพลอยได้ ก็คือ การทำให้“รัฐธรรมนูญฉบับนายห้างดูไบ” ต้องสะดุดกึก และถูกยื้อเวลาออกไปได้วันสองวัน

ขณะที่ อีกขบวนการหนึ่งที่เดินเกมคู่ขนานกันมาตลอด คือ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” เป็นประธาน และมี “วัฒนา เมืองสุข” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะมือไม้ของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คอยเป็นกุนซือประกบ และบงการ “บิ๊กบัง” ก็ถือว่าสร้างผลงานเข้าตา“นายใหญ่” อย่างจัง หลังเข็น “รายงานเถื่อน” ผ่านสภาไปอย่างฉลุย พร้อมกับอุ้มประเคนผลงานระดับห้าดาว ไปอยู่ในเงื้อมมือ “ครม.ยิ่งลักษณ์” เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนแม้ว

เรียกว่าทุกขบวนการที่เป็นการเป็นปูพรมให้ “ครม.ทักษิณส่วนหน้า” จัดหนัก จัดเร็วให้แบบติดจรวด ส่วนเรื่องปากท้องพี่น้องประชาชน เก็บใส่ลิ้นชักไว้ว่ากันทีหลังในลำดับท้ายๆ

เพราะเป็น “แฟนคลับแม้วแดง” ต้องอดทน!

อีกทั้งต้องไม่ลืมว่านโยบาย “พานายกลับบ้าน” ถือเป็นพันธกิจ และภารกิจเร่งด่วนที่ “รัฐบาลน้องสาว” ปักธงเอาไว้ตั้งแต่แรกว่า จะต้องทำเป็นอันดับแรกเหนือสิ่งอื่นใด แม้จะไม่มีใจความจารึกเด่นชัดปะปนอยู่ใน 16 ข้อเร่งด่วน ที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ยืนถือกระดาษปึกใหญ่ ปล่อยลีลาท่องสคริปต์ในที่ประชุมรัฐสภา เมื่อครั้งรัฐบาลแถลงนโยบาย ตอนเข้ารับตำแหน่งว่าจะต้องทำให้ได้ภายใน 1 ปี

หลายสิ่งหลายอย่างวันนี้เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาล โดยเฉพาะความล้มเหลวของการดำเนินตามนโยบายเร่งด่วนที่ได้เคยสัญญาไว้กับพี่น้องประชาชนเมื่อตอนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ย้อนไปจนถึงเมื่อครั้งตะลอนหาเสียงเลือกตั้งอยู่ตามต่างจังหวัด

ไล่เรียงตั้งแต่การประเดิมลดราคาน้ำมันเบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซล ด้วยการยกเว้นการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หวังจะลดค่าครองชีพประชาชน พร้อมไปกับการบลั๊ฟผลงาน “พรรคประชาธิปัตย์” เมื่อครั้งเป็นรัฐบาล แต่เอาเข้าจริงก็แป้กไม่เป็นท่า เมื่อนโยบายดังกล่าวดันส่งผลกระทบชิ่งไปถึงกลุ่มผู้ใช้พลังงานทดแทน เช่น เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ผู้ปลูกมันสำปะหลัง ที่ส่วนใหญ่เป็นคนภาคอีสาน มิหนำซ้ำ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยังมาขาดทุนบานเบอะ จนสุดท้ายไปไม่รอด รัฐบาลจำต้องเบรกนโยบายดังกล่าวกะทันหัน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มทำได้ไม่กี่เดือน

ตลกร้ายซ้ำสอง คนที่จำใจรับบทเป็น“แพะ” ก็หนีไม่พ้น อดีตรัฐมนตรีที่ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ สังเวยความล้มเหลวของรัฐบาลไปตามระเบียบ

เช่นเดียวกับ นโยบายคืนภาษี “รถยนต์คันแรก” ที่เปิดตัวอย่างหรูหรา แต่ผลตอบรับไปไม่ถึงฝัน เมื่อมหาวิกฤติอุทกภัย เมื่อปลายปี 2554 เข้าถล่ม จนชาวบ้านไม่กล้าไปจับจองรถยนต์ เหตุไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลจะ “เอาอยู่” แบบบ้านเมืองราบพนาสูร อีกหนหรือไม่ ที่สุดแล้วกระทรวงการคลัง ก็มีอันต้องขยายเวลาโครงการออกไปอีกหลายเดือน จากเดิมที่จะหมดเขตในสิ้นปีนี้ เพื่อหวังให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ถัดจากนั้นไม่นาน รัฐบาลพยายามเดินเครื่องทำผลงาน ด้วยการสานฝันเด็กประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ตามนโยบาย “1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน” ด้วยการเร่งจัดซื้อแทปเล็ต ที่แรกเริ่มทำท่าจะรวดเร็วทันใจ หลัง “อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” รมว.ไอซีที ออกมาโพนทะนาว่า จะจัดซื้อผ่านบริษัท เสิ่นเจิ้น สโคป ดีเวลลอปเมนต์ ของประเทศจีน เนื่องจากราคาย่อมเยา แต่ดันทะลึ่ง “ผิดสโคป” ไม่ตรงกับที่ “นายห้างตราใบห่อ” ล็อกเป้าเอาไว้คนละบริษัท ทำให้เรื่องคาราคาซัง ยุ่งขิงเป็นลิงแก้แห

แต่เดิมที่คุยฟุ้งว่าจะแจกทันการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปี 2555 ในเดือนพฤษภาคม ล่าสุด เขยิบออกไปอีกเดือน ซึ่งก็ยังไม่มีใครการันตีแบบเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมีการเลื่อนอีกหรือไม่ เพราะแถมาแล้ว 2-3 ครั้ง หนักกว่านั้นถึงเวลาจริง รายละเอียดการใช้ หรือแอพพลิเคชั่น จะสนองตรงตามสเปกหรือไม่ ยังต้องลุ้นกันอีกเฮือก

ไม่ต่างจาก “ค่าแรง 300 บาท” ที่รัฐบาลยาหอมเอาใจลูกจ้างรายได้น้อย โดยจะสมนาคุณให้ทันทีที่เข้ามาบริหารประเทศ ครั้นลงมือปฏิบัติจริง เล่นบทดำน้ำ ขึ้นให้แค่ 7 จังหวัดนำร่อง โดยอ้างค่าเฉลี่ยรายได้ประชากร มาเป็นเชือกพิงหลัง ผิดเพี้ยนจากครั้งปราศรัยหาเสียงว่าจะขึ้นให้ทั่วประเทศ

“ทันที”
 

ล่าสุด “เงินเดือนปริญญาตรี 15,000บาท” ก็ออกอาการเดียวกัน พลิ้วเลี่ยงบาลี โชว์สเตปขั้นบันได โดยในปีใหม่ 2556 จะดันให้เป็น 13,000 บาท จากนั้นในวันเดียวกันของปีต่อมา ถึงจะได้ถึงเต็มอัตราที่ 15,000 บาท หรือเข้าใจง่ายๆ คือรอไปอีก 2 ปีข้างหน้า ตามอาการคนในรัฐบาลหลุดมาหลายช็อต เรื่องของเรื่องผิดพลาดทางเทคนิค ที่ไม่ได้คิดวิธีการก่อนจะเขียนนโยบาย ทั้งๆ ที่งบประมาณปี 2556 มีพอจะสานต่อให้เป็นจริงได้

ขมวดภาพใหญ่ องค์รวมนโยบายยัง “เละตุ้มเป๊ะ”

มีสิ่งเดียวที่เป็นรูปเป็นร่าง ใกล้ความจริงที่สุด คือ นโยบาย “พาพี่แม้วกลับบ้าน” ที่ไม่จำกัดเวลา 1 ปี เหมือนนโยบายประชานิยมที่วาดฝันไว้เสียดิบดี

ถึงขั้นนี้ บางที สิ่งที่คนใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย-คนเสื้อแดง” วิตกจริตว่าจะล้มรัฐบาลอย่าง “รัฐประหาร” อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสียแล้ว เพราะขืนยังปล่อยให้นโยบายที่ตัวเองจินตนาการขึ้นมาเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ มีหวังความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอาจกลายเป็นดาบสองคม กลับมาเฉือนทำลายเสถียรภาพ และอายุของรัฐบาลเข้าเสียเอง

เพราะนาทีนี้ประชาชนทั้งประเทศแหยงกับภาวะข้าวของ “แพงทั้งแผ่นดิน” และต้องการอยู่ดีมีสุข มากกว่าให้ “ใครบางคน” เสวยสุข แค่เพียงลำพัง
กำลังโหลดความคิดเห็น