ด่วนจากสนามข่าว
การประชุมกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าเมื่อวันที่ 3 เมษายน ถกกันเครียดร่วม 5 ชั่วโมงกว่า ถือได้ว่าเป็นการประชุมที่สังคมจับตามองมากที่สุดและน่าจะใช้เวลาการประชุมยาวนานที่สุด
สุดท้าย ก็มีการออกแถลงการณ์จาก บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าในฐานะเลขานุการกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง รายงานการวิจัย “การสร้างความปรองดองแห่งชาติ”
สาระสำคัญที่เป็นท่าทีของสถาบันพระปกเกล้าก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติหรือกมธ.ปรองดองในวันที่ 4-5 เมษายนนี้คือ
การเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร และพรรคการเมืองเสียงข้างมากควรมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งอ้างอิงผลงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าไว้ชั้นหนึ่งก่อน และขยายอายุคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ออกไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญสมัยหน้าเป็นอย่างน้อย และให้นำรายงานดังกล่าวไปจัดพูดคุยหาทางออกร่วมกันทั้งระดับพรรคการเมือง และในระดับประชาชนทั่วประเทศอย่างกว้างขวางโดยไม่เร่งรีบรวบรัดเลือกนำข้อเสนอที่ตน หรือพรรคของตนได้ประโยชน์ ไปปฏิบัติ
โดยทางสถาบันพระปกเกล้า ย้ำชัดว่าหากสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบกับรายงานของกมธ.ปรองดอง และแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังข้อเสนอเดิมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันจะนำไปสู่ความสับสนของประชาชน และนำไปสู่ “สงครามความปรองดอง” อันเป็นการสถาปนา “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” ขึ้น ทั้งยังจะเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และความรุนแรงนั้น
สถาบันก็มีความเสียใจที่จะต้องขอรายงานการวิจัยดังกล่าวกลับคืนมา และหากผู้ใดจะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่งานดังกล่าวต่อสาธารณะชน จะต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากสถาบันก่อน
ให้สรุปแถลงการณ์ท่าทีดังกล่าวก็คือ ฝ่ายพระปกเกล้ายังคงไว้หน้ากมธ.ปรองดองชุดพลเอกสนธิ บุญยกลิน และสภาผู้แทนราษฏรโดยเฉพาะสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าที่นั่งหัวโต๊ะคุมเกมการประชุมอยู่ คือไม่ถึงกับประกาศถอนรายงานกลางคันหักหน้าสภาฯก่อนพิจารณาเรื่องนี้หนึ่งวัน
คือสภาฯอยากพิจารณารายงานกมธ.ปรองดองก็พิจารณาไป แต่สุดท้ายก็ให้นำรายงานของพระปกเกล้าไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลและความเห็นที่หลากหลายมากขึ้น มีทางออกมากขึ้นในการหาทางสร้างบันไดปรองดองมากขึ้น ให้ทุกอย่างทำแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบเร่งรวบรัดใช้เสียงข้างมากในสภาฯ จนเกิดสงครามปรองดองในสภาฯ
ให้วิเคราะห์จุดยืนครั้งนี้ของสถาบันพระปกเกล้า อ่านได้ว่าที่ต้องแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการดักทางไว้ก่อนว่า ไม่ใช่พอสภาฯเห็นชอบแล้ว ครม.ก็นำรายงานดังกล่าวมาหารือและบอกว่าเห็นด้วยกับมติของสภาฯ แล้วก็ออกเป็นพรบ.นิรโทษกรรมหรือพรบ.ปรองดองอย่างที่ทุกคนหวั่นเกรงกัน เพราะหากทำเช่นนั้นจะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งตามมา
ท่าทีดังกล่าวของฝ่ายสถาบันพระปกเกล้าที่บอกว่าหากสุดท้ายข้อเสนอครั้งนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากสภาฯเสียงข้างมาก ก็เตรียมขอถอนงานวิจัยออกมา เพราะทีมวิจัยรับงานนี้โดยไม่ได้รับเงินหรือค่าตอบแทนจากฝ่ายสภาฯหรือกมธ.ปรองดองแต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นสิทธิที่จะถอนได้ เนื่องจากเป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันใครจะนำไปใช้หรืออ้างอิงโดยสถาบันไม่อนุญาตจะมีความผิดได้
แม้หลายฝ่ายจะมองว่า ทางสถาบันพระปกเกล้าแสดงจุดยืนเรื่องนี้แบบไม่เต็มที่ คือยังกั๊กๆ อยู่ ไม่ยอมถอนงานวิจัยออกมาเลย แต่การที่สถาบันพระปกเกล้ามีท่าทีแบบนี้ ก็ทำให้กมธ.ปรองดองและสภาฯเพื่อไทย ที่จะประชุมกันวันพุธ-พฤหัสบดีนี้ เดินไปลำบากแล้ว
คิดว่าวิปรัฐบาลและเพื่อไทยรวมถึงพลเอกสนธิ คงต้องปรับท่าทีกันหลายตลบในการให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
สิ่งที่สถาบันพระปกเกล้าแสดงออกครั้งนี้ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยและเห็นได้ชัดว่าสถาบันพระปกเกล้าไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลและสภาเพื่อไทยนำรายงานวิจัยไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างความชอบธรรมให้กับคนไม่กี่คนได้ประโยชน์ โดยเฉพาะทักษิณ ชินวัตรและพรรคพวกรวมถึงแกนนำนปช.ที่จะได้รับการนิรโทษกรรมคดีอาญาจากการปลุกระดมให้คนเสื้อแดงออกมาเผาบ้านเผาเมือง
อย่างไรก็ตาม คนที่ต้องชี้แจงต่อสังคมต่อไปคงไม่พ้น วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าฯ หัวหน้าคณะทีมวิจัย ที่มีเสียงบ่นจากกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าบางคนออกมาว่าตอนที่รายงานฉบับนี้เสร็จ ไม่เคยนำข้อสรุปและแนวทางที่เขียนไว้มาแจ้งหรือหารือกับกรรมการสภาฯให้ทราบก่อน จะได้ช่วยกันคิดและให้คำแนะนำ ว่าแต่ละแนวทางมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
ครั้นพอเกิดปัญหาขึ้น วุฒิสารและคณะก็รับมือไม่ไหว โดยเฉพาะลูกหวดจากฝ่ายไม่เห็นด้วย อย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เล่นซัดจุดอ่อนงานวิจัยดังกล่าวกลางฟอร์โรงแรมออกอากาศผ่านทีวีทั่วประเทศมาแล้ว เลยกลายเป็นว่า ความพยายามสร้างการยอมรับว่าสถาบันพระปกเกล้าคือองค์กรวิชาการด้านการเมือง-กฎหมายเลยเสียไปไม่ใช่น้อย
ก็ไม่รู้ว่า เสียงบ่นดังกล่าว จะดังอื้ออึงในที่ประชุมกรรมการสภาฯหรือไม่ เพราะเล่นปิดห้องคุยกัน 5 ชั่วโมงแบบนี้ มันต้องมีเลคเชอร์ทั้งเสียงหนุนและเสียงไม่เห็นด้วยกับวุฒิสารและทีมวิจัยกันหนักแน่นอน
การประชุมกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าเมื่อวันที่ 3 เมษายน ถกกันเครียดร่วม 5 ชั่วโมงกว่า ถือได้ว่าเป็นการประชุมที่สังคมจับตามองมากที่สุดและน่าจะใช้เวลาการประชุมยาวนานที่สุด
สุดท้าย ก็มีการออกแถลงการณ์จาก บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าในฐานะเลขานุการกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง รายงานการวิจัย “การสร้างความปรองดองแห่งชาติ”
สาระสำคัญที่เป็นท่าทีของสถาบันพระปกเกล้าก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติหรือกมธ.ปรองดองในวันที่ 4-5 เมษายนนี้คือ
การเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร และพรรคการเมืองเสียงข้างมากควรมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งอ้างอิงผลงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าไว้ชั้นหนึ่งก่อน และขยายอายุคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ออกไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญสมัยหน้าเป็นอย่างน้อย และให้นำรายงานดังกล่าวไปจัดพูดคุยหาทางออกร่วมกันทั้งระดับพรรคการเมือง และในระดับประชาชนทั่วประเทศอย่างกว้างขวางโดยไม่เร่งรีบรวบรัดเลือกนำข้อเสนอที่ตน หรือพรรคของตนได้ประโยชน์ ไปปฏิบัติ
โดยทางสถาบันพระปกเกล้า ย้ำชัดว่าหากสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบกับรายงานของกมธ.ปรองดอง และแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังข้อเสนอเดิมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันจะนำไปสู่ความสับสนของประชาชน และนำไปสู่ “สงครามความปรองดอง” อันเป็นการสถาปนา “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” ขึ้น ทั้งยังจะเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และความรุนแรงนั้น
สถาบันก็มีความเสียใจที่จะต้องขอรายงานการวิจัยดังกล่าวกลับคืนมา และหากผู้ใดจะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่งานดังกล่าวต่อสาธารณะชน จะต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากสถาบันก่อน
ให้สรุปแถลงการณ์ท่าทีดังกล่าวก็คือ ฝ่ายพระปกเกล้ายังคงไว้หน้ากมธ.ปรองดองชุดพลเอกสนธิ บุญยกลิน และสภาผู้แทนราษฏรโดยเฉพาะสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าที่นั่งหัวโต๊ะคุมเกมการประชุมอยู่ คือไม่ถึงกับประกาศถอนรายงานกลางคันหักหน้าสภาฯก่อนพิจารณาเรื่องนี้หนึ่งวัน
คือสภาฯอยากพิจารณารายงานกมธ.ปรองดองก็พิจารณาไป แต่สุดท้ายก็ให้นำรายงานของพระปกเกล้าไปเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลและความเห็นที่หลากหลายมากขึ้น มีทางออกมากขึ้นในการหาทางสร้างบันไดปรองดองมากขึ้น ให้ทุกอย่างทำแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่ารีบเร่งรวบรัดใช้เสียงข้างมากในสภาฯ จนเกิดสงครามปรองดองในสภาฯ
ให้วิเคราะห์จุดยืนครั้งนี้ของสถาบันพระปกเกล้า อ่านได้ว่าที่ต้องแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการดักทางไว้ก่อนว่า ไม่ใช่พอสภาฯเห็นชอบแล้ว ครม.ก็นำรายงานดังกล่าวมาหารือและบอกว่าเห็นด้วยกับมติของสภาฯ แล้วก็ออกเป็นพรบ.นิรโทษกรรมหรือพรบ.ปรองดองอย่างที่ทุกคนหวั่นเกรงกัน เพราะหากทำเช่นนั้นจะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งตามมา
ท่าทีดังกล่าวของฝ่ายสถาบันพระปกเกล้าที่บอกว่าหากสุดท้ายข้อเสนอครั้งนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากสภาฯเสียงข้างมาก ก็เตรียมขอถอนงานวิจัยออกมา เพราะทีมวิจัยรับงานนี้โดยไม่ได้รับเงินหรือค่าตอบแทนจากฝ่ายสภาฯหรือกมธ.ปรองดองแต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นสิทธิที่จะถอนได้ เนื่องจากเป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันใครจะนำไปใช้หรืออ้างอิงโดยสถาบันไม่อนุญาตจะมีความผิดได้
แม้หลายฝ่ายจะมองว่า ทางสถาบันพระปกเกล้าแสดงจุดยืนเรื่องนี้แบบไม่เต็มที่ คือยังกั๊กๆ อยู่ ไม่ยอมถอนงานวิจัยออกมาเลย แต่การที่สถาบันพระปกเกล้ามีท่าทีแบบนี้ ก็ทำให้กมธ.ปรองดองและสภาฯเพื่อไทย ที่จะประชุมกันวันพุธ-พฤหัสบดีนี้ เดินไปลำบากแล้ว
คิดว่าวิปรัฐบาลและเพื่อไทยรวมถึงพลเอกสนธิ คงต้องปรับท่าทีกันหลายตลบในการให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
สิ่งที่สถาบันพระปกเกล้าแสดงออกครั้งนี้ แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยและเห็นได้ชัดว่าสถาบันพระปกเกล้าไม่ยอมให้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลและสภาเพื่อไทยนำรายงานวิจัยไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง สร้างความชอบธรรมให้กับคนไม่กี่คนได้ประโยชน์ โดยเฉพาะทักษิณ ชินวัตรและพรรคพวกรวมถึงแกนนำนปช.ที่จะได้รับการนิรโทษกรรมคดีอาญาจากการปลุกระดมให้คนเสื้อแดงออกมาเผาบ้านเผาเมือง
อย่างไรก็ตาม คนที่ต้องชี้แจงต่อสังคมต่อไปคงไม่พ้น วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าฯ หัวหน้าคณะทีมวิจัย ที่มีเสียงบ่นจากกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าบางคนออกมาว่าตอนที่รายงานฉบับนี้เสร็จ ไม่เคยนำข้อสรุปและแนวทางที่เขียนไว้มาแจ้งหรือหารือกับกรรมการสภาฯให้ทราบก่อน จะได้ช่วยกันคิดและให้คำแนะนำ ว่าแต่ละแนวทางมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร
ครั้นพอเกิดปัญหาขึ้น วุฒิสารและคณะก็รับมือไม่ไหว โดยเฉพาะลูกหวดจากฝ่ายไม่เห็นด้วย อย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เล่นซัดจุดอ่อนงานวิจัยดังกล่าวกลางฟอร์โรงแรมออกอากาศผ่านทีวีทั่วประเทศมาแล้ว เลยกลายเป็นว่า ความพยายามสร้างการยอมรับว่าสถาบันพระปกเกล้าคือองค์กรวิชาการด้านการเมือง-กฎหมายเลยเสียไปไม่ใช่น้อย
ก็ไม่รู้ว่า เสียงบ่นดังกล่าว จะดังอื้ออึงในที่ประชุมกรรมการสภาฯหรือไม่ เพราะเล่นปิดห้องคุยกัน 5 ชั่วโมงแบบนี้ มันต้องมีเลคเชอร์ทั้งเสียงหนุนและเสียงไม่เห็นด้วยกับวุฒิสารและทีมวิจัยกันหนักแน่นอน