ผู้นำฝ่ายค้านเตือนสติรัฐบาลอย่าใช้สื่อในเครือเป็นเครื่องมือตะแบงค่าครองชีพปกติโกหก ปชช. แนะให้ยอมรับ “แพงทั้งแผ่นดิน” ยันต้องเร่งแก้ก่อนคิดแก้ รธน. ด้าน “อภิรักษ์” เสนอทบทวนนโยบายพลังงาน อย่าต่างคนต่างทำ-ขวางขึ้นค่าแรง 300 บ.แบบก้าวกระโดด
วันนี้ (18 มี.ค.) พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดงานเสวนาหัวข้อ “ฝ่าวิกฤตข้าวของแพง” โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในหัวข้อ “สภาวะค่าครองชีพสูงและแนวทางการแก้ไขในทัศนะของผู้นำฝ่ายค้าน” ว่า ตนอยากย้ำว่าปัญหาข้าวของแพง และปัญหาเงินเฟ้อ เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องเอาใจใส่ ประชาชนสามารถรู้สึกได้เองที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ซึ่งเงินเฟ้อเป็นภาษีที่ร้ายกาจที่สุด คือ เก็บจากทุกคน เงินหายไปดื้อๆ ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นปัญหาต้องเอาใจใส่ มองดูเหมือนไม่น่ามีอะไรก็ได้ แต่เป็นเรื่องที่ซับซ้อน รัฐบาลจะเนรมิตราคาสินค้าให้เป็นไปตามกลไกจริงๆ เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากราคาอุปสงค์ และอุปทาน จะเป็นตัวกำหนด
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น 1. รัฐบาลต้องยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระบวนการกองเชียร์รัฐบาลที่ให้ข่าวว่าสินค้าไม่แพง เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านสร้างขึ้น ตนอยากจะบอกว่าขณะนี้แพงทั้งแผ่นดินแล้ว การที่โฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าของไม่แพง แต่ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงนัดประชุมเรื่องของแพง ถ้านายกรัฐมนตรียืนยันสิ่งที่กองเชียร์พูด ตนอยากให้นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศเลยว่าของไม่แพง และจะไม่แก้ไข แต่ถ้าแพงก็ขอให้บอกกองเชีนร์ว่าหยุดพูดได้แล้ว และหันมาช่วยกันแก้ไข 2. หากยอมรับว่ามีปัญหาก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่าปัญหาเกิดจากจุดไหน กองเชียร์ตอนนี้พูดต่างๆ นานา ถ้านโยบายพลังงานของรัฐบาล ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นราคาน้ำมัน สภาพราคาสินค้าต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน มีกองเชียร์รัฐบาลตอบโต้ว่า “ใครเอาน้ำมันดีเซลไปเจียวไข่” ตนอยากบอกว่าหากค่าขนส่งแพงขึ้น สินค้าทุกตัวก็ต้องแพงขึ้น ต้องทำความเข้าใจ ตนอยากถามว่า แล้วเงินเฟ้อหมายความว่าอย่างไร ขณะนี้สิ่งที่จำเป็นอย่างมากคือ นโยบายพลังงานต้องมีการทบทวน และ 3. รัฐบาลต้องเร่งทำความเข้าใจกับปัญหา และมีใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีผลประโยชน์อื่นใดมาเกี่ยวข้อง
“เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการตั้งกระทู้ถามรัฐบาล เห็นได้ชัดว่า แนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ออกมาตอบนั้นจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน มีการอ้างตัวเลขที่ไม่แท้จริง หากเอาราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่มีสูงกว่าแน่นอน ท่านไม่มีหลักคิดเลยว่าก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทำแอลพีจี เอ็นจีวี เป็นทรัพย์สมบัติของประเทศ ท่านกลับคิดว่าก๊าซนี้ต้องไปอิงกับราคาส่งออก ผมไม่เคยเห็นในประเทศไหนเลยที่ผลิตก๊าซเองแล้วขายคนในประเทศเท่ากับที่ขายตลาดโลก การที่รัฐมนตรีระบุว่าคนไทยเคยตัว ใช้ก๊าซถูกมานาน ต้องใช้แพงขึ้นบ้างถึงประหยัด ผมอยากจะบอกว่าอย่ามาพูดอย่างนี้ ก๊าซไม่ใช่นำมาจุดเล่น คนที่นำมาจุดเล่นคือพวกเผาบ้านเผาเมือง ไม่ประหยัดเลย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า มีการพูดว่าของแพงครั้งนี้เกิดขึ้นในภาวะที่ราคาผลผลิตเกษตรตกต่ำ กลายเป็นว่าขณะนี้เกิดปัญหาสองด้าน โครงการจำนำข้าวก็ไม่เป็นไปตามเป้ามหายของเกษตรกร และทำลายโอกาสการส่งออกข้าวอย่างรุนแรง ทั้งนี้ ตนอยากให้ทุกคนจับตาดูน้ำมันปาล์ม เพราะขณะนี้มีแนวคิดนำเข้าน้ำมันปาล์ม ซึ่งหากดูจากสถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่อยู่ในสภาวะที่ขาดแคลน แต่จะมีการทำนโยบายเพื่อตรึงราคานำเข้าโดยจะอุดหนุน ปตท.เรื่องไบโอดีเซล ตนอยากให้รัฐบาลทบทวนและพิจารณาให้ดี และขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไข ใส่ใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐธรรมนูญค่อยแก้ทีหลังก็ได้
ด้าน นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหานั้นรัฐบาลคงต้องดูเป็นรายสินค้าไป ที่แพงเป็นเพราะอะไร และแก้ไขให้ถูกจุด เพราะไม่มีนโยบายอะไรที่ออกมาแล้วแก้ไขได้ทั้งหมด สำหรับการขึ้นราคาสินค้านั้น ตนเห็นว่าเกษตรกรผู้ผลิต สมควรปรับขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับผู้ใช้ ตนอยากถามว่าเราจะมีโอกาสทำให้สูงขึ้นบ้างได้หรือไม่ แต่ต้องไม่สูงมากจนเกินไป กำไรต้องได้บ้าง แต่ไม่ใช่เกินเหตุ ส่วน ปตท.กำไรเกินเหตุหรือไม่นั้น ตนเห็นว่ากำไรเยอะก็จริง แต่เป็นกำไรที่ได้จากปิโตรเคมี ได้จากการขายเนื้อก๊าซธรรมชาติ แต่ที่เขาขายก๊าซธรรมชาติรถยนต์นั้น ตนเห็นว่าเขาขาดทุนแน่นอน เนื่องจากค่าการขนส่งสูงมาก แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ควรปรับราคาให้สูงมากนัก
ส่วน นายชัยวัฒน์ แสงชัย ที่ปรึกษาสมาคมตลาดสด กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าในสายตาผู้บริโภค ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน ไข่ ขยับราคาสูงขึ้น ตนเห็นว่าหนทางเลือกอาจจะหันไปใช้สินค้าอย่างอื่นที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันทนแทน อาทิ เนื้อหมู ก็หันไปบริโภคกระดูกหมู เป็นต้น รัฐบาลควรจะวิเคราะห์ราคาสินค้า และกำลังซื้อของประชาชนตามอุปสงค์และอุปทานด้วย ซึ่งราคาสินค้าที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกรรม ซึ่งต้องยอมรับว่าสินค้าเหล่านั้นจะมีความผันผวนตามฤดูกาล และวัฏจักร ขณะนี้กระเทียม หอมแดง ก็ถูกลักลอบนำเข้ามาจากประเทศจีน พม่า มีผลทำให้ราคาตกต่ำพอสมควร ซึ่งตนเห็นว่าของแพงก็ควรจะแก้ไข ส่วนนโยบายการรับจำนำข้าวนั้น ในที่สุดก็ขายสู้ประเทศอื่นๆ ไม่ได้ ตนคาดว่าอาจจะกลายเป็นองค์การค้าข้าวเสื่อมก็ได้ เพราะข้าวจะถูกนำมาขายในลักษณะของข้าวเสีย เมื่อราคาต่ำรัฐบาลก็ขาดทุน และที่เป็นปัญหาที่สำคัญ คือ เราใช้เงินเกินตัว เอาเงินในอนาคตมาใช้มาก นโยบายประชานิยมอย่างรุนแรง ในที่สุดจะทำให้พฤติกรรมเหลวแหลก ขาดเงินออม ถ้าใครเห็นแก่ผลประโยชน์ อาทิ การตั้งกองทุนสตรี ตนอยากถามว่าพวกเราจะได้เงินทุนเหล่านั้นสักเท่าไหร่กัน ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ควรประกาศขึ้นราคาค่าแรงในลักษณะก้าวกระโดดเช่นนี้ ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในอนาคตข้างหน้าไทยจะเข้าไปอยู่ในสมาคมอาเซียน การแก้ไขสินค้าราคาแพง จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานราคาสินค้า มาตรฐานการผลิต เพราะจะช่วยทำให้สินค้าที่ล้นตลาดออกขายสู่ตลาดนอกได้ การเคลื่อนไหวไปมาระหว่างประเทศได้ สินค้าจะนำเข้า-ส่งออกได้อย่างเสรี
“ผมเป็นห่วงว่าถ้ารัฐบาลปล่อยอยู่เช่นนี้ มุ่งแต่แก้รัฐธรรมนูญ ปัญหาเราจะเกิดความยากลำบาก พฤติกรรมที่เป็นมากของคนไทย คือ พฤติกรรมการเลียนแบบการบริโภค กลไกการเมือง ทุนนิยมการเมือง เราเจอเผด็จการ ที่อันตรายกว่าทหารเอาปืนมาจ่อ และที่อันตรายกว่า คือเผด็จการในรัฐบาล รัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน เดินหน้าแก้ปัญหาอย่างแท้จริง” นายชัยวัฒน์กล่าว
ขณะที่ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เงา กล่าวว่า ตนอยากเสนอให้รัฐบาล 1. ทบทวนนโยบายพลังงาน 2. การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล อย่าต่างคนต่างทำ เพราะขณะนี้มีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ควรจะทำงานร่วมกัน และแก้ไขอย่างเป็นระบบ นายกรัฐมนตรีต้องลงมากำกับดูแลด้วยตนเอง 3. รัฐบาลไม่ควรปรับเงินขึ้นค่าแรงในลักษณะก้าวกระโดด ตนอยากถามว่าเวลาท่านทำงานในบริษัทเคยปรับขึ้นเงินเดือนทีละ 40 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ รัฐบาลกำลังจะบอกว่ายกระดับให้กับผู้ใช้แรงงาน เงินเยอะก็จริงแต่ธุรกิจเอสเอ็มอี จะได้รับผลกระทบ ตนยังไม่ได้ยินว่ารัฐบาลมีมาตรการลดผลกระทบต่อเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการ อย่างไร ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหา 4. ประชาชนเดือดร้อนจากน้ำท่วม รัฐบาลต้องเร่งเข้าไปฟื้นฟู จ่ายเงินชดเชย การทำงานของัรฐบาลอย่าแยกงานกันทำ อาทิ ผลักภาระให้แก่กระทรวงพาณิชย์อย่างเดียว รัฐบาลควรไปทำงานร่วมกับกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย 5. ถ้ารัฐบาลยังไม่ทำงานเชิงรุก ในเดือน มี.ค.-พ.ค. จะเป็นฤดูกาลของผลไม้ ถ้ารัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหา สินค้าเกษตรบางประเภท อาจได้รับผลกระทบโดยตรง ตนเห็นว่าหากนโยบายบางเรื่องรัฐบาลทำและไม่เกิดประโยชน์จริง ขอให้ทบทวน มิเช่นนั้นประชาชนจะทบทวนว่าเขาเลือกท่านมาถูกหรือไม่
ด้าน นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผอ.สมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากที่ผ่านมาเรามีการตรึงราคาช่วยผู้บริโภค ซึ่งตนอยากเสนอให้มีการตั้งกระทรวงค้าขายแทนเป็นทางแก้ปัญหาจะดีกว่า นั่นคือ การนำเอากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงกระทรวงพาณิชย์มารวมกัน เพราะถือเป็นหน่วยต้นทางทั้งหมดจะได้สามารถควบคุมการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าได้โดยตรงซึ่งตนคิดว่าการตั้งกระทรวงแบบนี้จะไม่ยุ่งยากในทางกลับกันทำให้เรากำหนดราคาได้เลย