xs
xsm
sm
md
lg

“ปู” ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย แต่ขยิบตาดัน กม.นิรโทษฯ แม้วเข้าสภา!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

นาทีนี้คงจะเอานิยงนิยายหรือสาระรายละเอียดอะไรไม่ได้เลย สำหรับนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจเป็นเพราะสิ่งไหนที่ต้องท่องจำเกินสิบคำขึ้นไปอาจมีปัญหาจึงต้องใช้วิธีตอบคำถามแบบสูตรสำเร็จ เช่น เราดูแลเต็มที่อยู่แล้ว ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลแล้ว หรือถ้าเป็นเรื่องกฎหมายก็บอกว่าเป็นเรื่องของสภา เป็นต้น แต่ถ้ายังจู้จี้ซักไม่เลิกก็ยิ้มแล้วเดินหนี

เหมือนกับกรณีที่มีสื่อถามว่าโดยยกเอากรณีที่พี่ชายตัวเอง คือ ทักษิณ ชินวัตร เผยกับสื่อต่างประเทศว่าอาจจะกลับไทยปลายปีนี้ และสอดรับกับคำพูดของ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เคยกล่าวทำนองเดียวกัน และล่าสุดก็ได้ประกาศชัดเจนว่าเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมภายใต้ชื่อใหม่ว่า พระราชบัญญัติปรองดองฯ ในสมัยประชุมสภาสมัยหน้า โดยเธอบอกว่า “ไม่ได้กลับหรอก” และเป็นความเห็นส่วนตัวของ ร.ต.อ.เฉลิม แต่ก็ตามสูตรโบ้ยไปว่าเป็นเรื่องของสภา

ดังนั้น ถ้าฟังจากคำพูดของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่ดูไร้เดียงสาแบบนี้ แล้วนำไปพิจารณาจากคำพูดของเจ้าตัว คือทักษิณ และลูกน้อง “คนรับงาน” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม แล้วเชื่อได้เลยว่า การที่จะกลับมาในปีนี้เป็นเรื่องจริง เพราะนี่คือนิสัยของทักษิณ ที่สะท้อนออกมาจากความมั่นใจภายในจึงพูดออกมา อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้ มันก็ต้องคล้อยตามอย่างนั้นจริงๆ

เพราะถ้าพิจารณาจากคะแนนเสียงเมื่อตอนรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรก ก็มีคะแนนเสียงในสภาท่วมท้นถึง 399 เสียง แสดงให้เห็นว่า สมาชิกรัฐสภาพวกนี้ “เลือกข้าง” เอากับเขาเรียบร้อยแล้ว

เมื่อท่วมท้นล้นทะลัก มีหรือจะหยุดอยู่แค่นี้ คนอย่างทักษิณที่เป็นนักคำนวณตัวเลขย่อมมองออกว่า นับจากนี้ไปเขาจะทำอะไรก็ได้ ใช้เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายอะไรก็ได้ แถมยังอ้างความชอบธรรมอีกว่าเป็นการยึดโยงกับประชาชน เพราะสมาชิกสภาเป็นตัวแทนของประชาชน

อย่าได้แปลกใจที่ ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อได้รับสัญญาณก็เดินเครื่องทันที นั่นคือเดินหน้าเสนอพระราชบัญญัติปรองดอง (นิรโทษกรรม) ที่ได้ร่างเตรียมไว้แล้ว แต่คราวนี้กล้าประกาศวันเวลาว่าจะเริ่มนำเข้าสภาในสมัยประชุมหน้า

สำหรับเหตุผลที่ต้องเสนอเป็นพระราชบัญญัติ เพราะมันรวดเร็วใช้แค่เสียงข้างมาก เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถมีผลบังคับใช้ ไม่เหมือนกับกรณีแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ต้องใช้เวลานานไม่น้อยกว่า ครึ่งปีขึ้นไป มิหนำซ้ำระหว่างการแก้ไขก็ต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์มีการรับฟังความเห็น มีการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้สมบทบาทตาม “เสื้อคลุม” ประชาธิปไตยที่บังหน้าเอาไว้ และช่วงเวลาแบบนั้นยังเสี่ยงต่อการถูกสาวใส้เปิดโปง มันก็เสี่ยง และถ้าว่ากันไปแล้ว หากมองให้ลึกเข้าไปในใจของทักษิณ จริงๆ แล้วเขาต้องการทำแบบไหนก็ได้ที่ทำให้เขาพ้นความผิด กลับมามีอำนาจ และได้เงินคืนเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือเวลานี้ครอบครัวของเรากำลังได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้อำนาจรัฐอยู่ในมือแล้ว เพียงแต่ว่าต้องการแก้ไขเพื่อที่จะยุบทิ้งหรือบั่นทอนอำนาจการตรวจสอบของระบบศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระที่เป็น “หนามตำใจ” รัฐบาลที่เขาเป็นเจ้าของอยู่เท่านั้น

นอกจากนี้ สิ่งที่ ทักษิณ เริ่มกังวล มากขึ้นทุกวันก็คือ เพราะเขารู้ว่าสติปัญญาของน้องสาว เป็นอย่างไร โง่หรือฉลาดแค่ไหนเขาย่อมรู้อยู่เต็มอก และเวลานี้สังคมกำลังเริ่มค้นพบความจริงมากขึ้นทุกวัน สังคมได้เห็นความ “ห่วยแตก” ของรัฐบาล เริ่มทนไม่ไหวกับราคาข้าวของแพงแบบพรวดพราด สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ ทักษิณ มองเห็นสัญญาณร้ายดังกล่าว ทำให้ต้องสั่งรวบรัดรีบดำเนินการให้เขาพ้นความผิดโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าทอดยาวออกไป มันก็มีโอกาสเสี่ยง ถ้ารัฐบาลล้มครืนเมื่อใดทุกอย่างก็จบเห่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้กำลังถูกปัญหาหลายอย่างเริ่มรุมเร้าเข้ามา นอกจากเรื่องของแพงแล้วยังมีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมรอบใหม่ ถ้าเที่ยวนี้เกิดพลาดพลังซ้ำอีก มันก็ไม่มีโอกาสไปโทษใคร ได้อีกแล้วต้องรับไปเต็มๆ เพียงแค่นี้ ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่เขาจะต้องรีบเดินหน้าให้ทันการณ์

ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจที่เนื้อหาสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม (ปรองดองฯ) ที่นำเสนอโดย ร.ต.อ.เฉลิม มีแค่ 5-6 มาตราตามที่เคยคุ้ยโม้เอาไว้ ใช้วิธีการตบตานั่นคือ ให้ลบล้างความผิดทุกฝ่าย เหมือนกับกรณีใช้เงินรัฐเยียวยาทุกฝ่าย แต่เป้าหมายแท้จริงเพื่อต้องการตกรางวัลและซื้อใจคนเสื้อแดง นี่ก็เหมือนกัน เป้าหมายหลักคือช่วยเหลือให้ทักษิณ ได้พ้นผิด นั่นเอง

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากคำพูด ทั้งจากปากทักษิณ และคนนำเสนออย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ก็ต้องมั่นใจว่า จะมีการเสนอ พระราชบัญญัตินิรโทษฯ (ปรองดอง) เข้าสภาแน่นอน เพราะมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวที่เป็น “ทางลัด” ป้องกันความเสี่ยงมากที่สุด แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อาจเป็นการเร่งอารมณ์โกรธของชาวบ้านจนเหลืออดก็ได้ เพราะกลายเป็นว่านี่คือการ “เอาเปรียบ” ทำตัวพิเศษเป็นเทวดา ทั้งที่ผลงานก็ไม่เอาไหน อะไรประมาณนั้นแหละ

ดังนั้น ถ้ามองทั้งสองด้าน มันก็เสี่ยงพอกัน แต่อย่าเพลอไปถาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็แล้วกัน เพราะหนูไม่รู้!!
 ทักษิณ ชินวัตร
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
กำลังโหลดความคิดเห็น