“ประยุทธ์” โยนรัฐแก้รัฐธรรมนูญ แนะทุกฝ่ายห้ามพวกหนุนค้านปะทะ ชี้ ถ้ามัวทะเลาะก็ถอยหลังไปเรื่อย วอนอย่าใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย ยันแฝดมือต่อย “วรเจตน์” ไม่ได้เป็นทหารพราน ด้าน ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ก็คอนเฟิร์ม ไม่ใช่ พร้อมเช็ก “ศิริชัย” แล้ว ระบุไม่รู้จัก เล็งฟ้องกลับใช้เอกสารเท็จ
วันนี้ (8 มี.ค.) ที่สโมสรทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นกระบวนการแก้ปัญหาของรัฐบาล เราเป็นประเทศประชาธิปไตย ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน และดูในสิ่งที่เหมาะที่ควร ส่วนที่มีความกังวลว่าจะเกิดการปะทะระหว่างกลุ่มคนที่สนับสนุน และกลุ่มคนที่คัดค้านนั้น ต้องดูแลไม่ให้มีการปะทะกันต้องช่วยกันห้ามปราม ต่างฝ่ายต้องอยู่ในกรอบของตัวเอง ถ้าปะทะแล้วได้อะไรไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ประเทศชาติก็เสียหาย และตัวเองก็ไม่ปลอดภัย และก็จะเดือดร้อนกันอีก อีก 3 ปีเราจะก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนถ้ามัวแต่ทะเลากันอยู่แบบนี้ ก็ไม่ต้องไปไหน ถอยหลังกันไปเรื่อยๆ ที่สุดแล้วเราจะเป็นประเทศที่อยู่ท้ายสุดในอาเซียนที่จะเจริญเท่าเขา ซึ่งเรารอเขามานานแล้ว ถอยหลังไปอีกหน่วยคงไม่เป็นไรมั้ง
“ผมเคยพูดฝากมาตลอด ตั้งแต่รับราชการมา 35 ปี จนเกือบ 40 ปีแล้ว ว่า อยากให้คนไทยรักและสามัคคี เอาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและก้าวไปข้างหน้า จะคิดอะไรก็แล้วแต่ต้องดูด้วยว่าประเทศชาติจะได้อะไร ควรทำให้จิตสาธารณะเกิดขึ้น โดยคนไทยทุกคน สร้างความสามัคคีให้คนทุกหมู่ทุกพวก เพราะอายเขา จะเอาหน้าตาไว้ไหนเมื่ออยู่ในประชาคมอาเซียน ต้องหยุด ดูแลช่วยเหลือกัน เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตยให้เขาค่อยๆเดินกันไปจะผิดหรือจะถูก สังคมต้องเรียนรู้และต้องรู้จักการแก้ปัญหาด้วยประชาชนคนไทยด้วยระบบกฎหมาย อย่าใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย เพราะไม่ถูกต้องและอันตรายกับประเทศต่อไปในอนาคต ต้องระมัดระวัง ถ้าต่อไปเรามีความสามัคคี ความปรองดองก็จะเกิดขึ้น ก็จะหาทางออกได้ อย่าแหย่กันไปมา เพราะจะทะเลาะกันไม่เลิก มีกฎหมายเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหา และเชื่อมั่นในกฎหมายที่มีอยู่” ผบ.ทบ.กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบก ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุพจน์ และ นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ฝาแฝดชาวปทุมธานี ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์แอบอ้างบัตรทหารพรานไปยื่นขอใบครอบครองอาวุธ ว่า กำลังตรวจสอบอยู่ ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้การกรมทหารพราน ว่า เขาไม่เคยเป็นทหารพราน และคนที่เซ็นรับรองนั้นเพิ่งจะเป็นทหารพระธรรมนูญ และขณะนี้ย้ายไปแล้ว กำลังตรวจสอบว่าไปเซ็นต์รับรองหรือไม่ ยืนยันว่า ไม่ใช่ทหารพราน ซึ่งคนแอบอ้าง ก็แอบอ้างทุกเรื่อง วันนี้ทหารพรานพรุ่งนี้อาจจะเป็นทหารหลัก มะรืนแอบอ้างตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ มีโอกาสทำตรงไหน ก็ตรงนั้น ข้อสำคัญคือกำลังพลทุกหน่วยทุกเหล่า ต้องระวังบางทีคนมาขอความช่วยเหลือก็เชื่อไม่ได้ หรือเป็นการช่วยเหลือสมัยก่อนเพราะเกิดหลายปีมาแล้ว สำหรับการซื้ออาวุธเข้าใจว่าเป็นการรับรองการจัดซื้ออาวุธเท่านั้นเอง โดยไม่ได้เป็นทหารพรานอะไร ส่วนคนที่ชื่อ พ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน มีตัวตนหรือไม่ และไปรับรองเรื่องอะไร แต่เท่าที่ทราบคนนี้เคยอยู่หน่วยทหารพราน
ด้าน พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 (ผบ.ฉก.กรม ทพ.26) ค่ายปักธงชัย กล่าวยืนยันว่า จากการตรวจสอบฝาแฝดทั้งสองคนไม่เคยเป็นทหารพรานสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 และจากการตรวจสอบพบว่า พ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน ผู้ที่เป็นคนออกบัตรทหารพรานให้ฝาแฝดนั้น เคยเป็นนายทหารพระธรรมนูญของกรมทหารพรานที่ 26 ของปี 2529-32 และจากการตรวจสอบปัจจุบัน พ.อ.ศิริชัย สังกัดอยู่กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งจากการพูดคุย เขายืนยันว่า ไม่รู้จักฝาแฝดทั้ง 2 คนนี้ และจะขอหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อฟ้องกลับว่า มีการอ้างชื่อตนเอง และใช้เอกสารปลอม ดังนั้น จึงคาดได้ว่า เอกสารที่ฝาแฝดใช้เป็นเอกสารปลอม