การเมืองเรื่องการเคลื่อนไหวมาตรา ๑๑๒ ร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปลายเดือน ก.พ.มีคนร้ายคู่แฝดใช้จักรยานยนต์ขับเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และดักทำร้ายร่างกายด้วยการชกต่อยอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำคนสำคัญของกลุ่มนิติราษฏร์ จนได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้ามีเลือดไหลและต้องไปรักษาตัวที่ ร.พ.ธนบุรี
นายวรเจตน์เล่าว่า ตนขับรถเข้าไปในลานจอดรถเฉพาะอาจารย์ของคณะนิติศาสตร์เมื่อเวลาประมาณ ๑๕.๔๐ น. หลังจากลงจากรถไม่ทันได้ระวังตัว มีชายฉกรรจ์ ๒ คน เข้ามาด้านหลัง คนแรกตะโกนว่า “กูมารอมึงนานแล้ว” พร้อมกันนั้นก็ชกตนที่ใบหน้าโดยไม่ยั้ง จนแว่นตาที่ใส่อยู่กระเด็นตกพื้นแตก ตนได้แต่ใช้มือปกป้องแต่ก็มองหน้าคนร้ายไม่ชัดเพราะไม่มีแว่น
เวลานั้นมีอาจารย์ชายอีกคนเห็นเหตุการณ์ ก็พยายามเข้ามาช่วยเหลือแต่ถูกชาย ๒ คน ผลักจนได้รับบาดเจ็บ ภายหลังชาย ๒ คน วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปและตะโกนว่า “ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูเป็นใคร ให้ไปดูที่กล้องวงจรจรปิด เดี๋ยวก็รู้ว่ากูเอง”
นายวรเจตน์กล่าวว่าผลการตรวจร่างกายที่ ร.พ. แพทย์พบบาดแผลฟกช้ำและรอยขีดข่วนทั่วใบหน้า
ด้านขวาตั้งแต่โหนกแก้ม กรามด้านขวาไปจนถึงหน้าผาก และมีเลือดไหลออกจากจมูก สาเหตุที่ถูกทำร้ายครั้งนี้ตนไม่ทราบเพราะที่ผ่านมาไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทกับใคร เชื่อว่าน่าจะมาจากการเคลื่อนไหวแก้กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ภายหลังนายวรเจตน์พบแพทย์แล้วมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงครามฝ่ายสืบสวน ๒ นาย เดินทางไปดูแลความปลอดภัย เมื่อนายวรเจตน์รักษาตัวเสร็จก็นำตัวกลับไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากพนักงานสอบสวนรอสอบปากคำอยู่ ทางตำรวจทราบเบื้องต้นว่าคนร้ายเป็นชาย ๒ คน ใช้รถจักรยานยนต์ไปก่อเหตุแล้วหลบหนีและตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุแล้ว
ต่อมานายสมคิด เลิศไพฑูรย์อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คว่า “ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้เหตุผลในการพูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ และขอประณามความรุนแรงทุกประเภทที่กระทำต่อคนธรรมศาสตร์และคนไทยด้วยกัน”
ภายหลังออกจากโรงพยาบาล นายวรเจตน์เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังขประไพ รอง ผบ.ช.น.ร่วมด้วย โดยกล่าวว่า จะเข้าแจ้งความและดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ที่ผ่านมาตนเคยถูกข่มขู่ทางจดหมายและเผาหุ่นเท่านั้น ครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องการเคลื่อนไหวกับกลุ่มนิติราษฏร์ ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดแต่เคลื่อนไหวในฐานะนักวิชาการคนหนึ่ง
ด้านพล.ต.ต.วิชัย สังขประไพ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้ตนมาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ขณะนี้เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้ชัดเจน โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพได้ชัดเจนตั้งแต่คนร้ายไปนั่งรออยู่แถวที่เกิดเหตุอยู่ก่อนแล้ว และพล.ต.ต.วิชัย ได้อธิบายถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายทั้งสองอย่างละเอียด ทำให้เห็นว่าทางตำรวจรู้เบาะแสคนร้ายได้พอสมควร และยังรู้ถึงรถจักยานยนต์ และทะเบียนรถด้วยว่าหมายเลขอะไร ทำให้เชื่อแน่ว่าคงไม่มีปัญหาที่จะติดตามตัวคนร้ายได้ในเร็ววัน และยังบอกด้วยว่าจะให้ตำรวจมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับอาจารย์วรเจตน์อย่างใกล้ชิดด้วย
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น ๑ มีนาคม สองพี่น้องฝาแฝด นายสุพจน์และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ อายุ ๓๐ ปี ชาวจังหวัดปทุมธานี ก็เข้ามอบตัวที่ สน.ชนะสงคราม ยอมรับว่าเป็นคนร้ายที่เข้าไปชกต่อยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยผู้ต้องหาให้การว่าไม่เห็นด้วยกับคณะนิติราษฏร์ที่พยายามเคลื่อนไหวจะแก้กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยช่วงเช้าวันเกิดเหตุได้ขี่จักรยานยนต์ไปไหว้พระวัดพระแก้ว และเห็นว่าอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยจึงแวะไปนั่งเล่น กระทั่งเกิดความคิดจะระบายความแค้นนายวรเจตน์แกนนำกลุ่มนิติราษฏร์ จึงดักรอจังหวะที่นายวรเจตน์ขับรถมาจอดแล้วตรงเข้าทำร้ายร่างกายก่อนหนีไปบ้านเพื่อนที่ปทุมธานี รอจนเช้าถึงตัดสินใจมามอบตัว
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของฝาแฝดในประเด็นว่าไม่ได้วางแผนมาก่อนหน้า เนื่องจากพฤติกรรมว่าน่าจะติดตามความเคลื่อนไหวของนายวรเจตน์มานานพอสมควร ถึงรู้ว่าขับรถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร และจอดรถบริเวณไหนของมหาวิทยาลัย พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน จากนั้นก็นำตัวไปสอบสวนและสอบปากคำเพิ่มเติมที่บช.น.
จากการสอบประวัติของผู้ต้องหาตระกูลศิลารัตน์ พบว่านายสุพจน์แฝดผู้พี่เคยถูกจับกุมคดีมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตขณะขับรถผ่านด่านตรวจบริเวณประชาอุทิศ ถนนสรงประภา เขตดอนเมืองเมื่อปี ๒๕๕๓ ส่วนนายสุพัฒน์ผู้น้องมีประวัติถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นกลางสี่แยกไฟแดง ก.ม.๒๗ ถนนพหลโยธิน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง เมื่อปี ๒๕๔๔
ทั้งสองคนมีพฤติกรรมและนิสัยรุนแรง ชอบเล่นปืนเคยแข่งกีฬายิงปืนตามสนามยิ่งปืนต่างๆ เพื่อล่ารางวัลอยู่บ่อยครั้ง
นายวรเจตน์เล่าว่า ตนขับรถเข้าไปในลานจอดรถเฉพาะอาจารย์ของคณะนิติศาสตร์เมื่อเวลาประมาณ ๑๕.๔๐ น. หลังจากลงจากรถไม่ทันได้ระวังตัว มีชายฉกรรจ์ ๒ คน เข้ามาด้านหลัง คนแรกตะโกนว่า “กูมารอมึงนานแล้ว” พร้อมกันนั้นก็ชกตนที่ใบหน้าโดยไม่ยั้ง จนแว่นตาที่ใส่อยู่กระเด็นตกพื้นแตก ตนได้แต่ใช้มือปกป้องแต่ก็มองหน้าคนร้ายไม่ชัดเพราะไม่มีแว่น
เวลานั้นมีอาจารย์ชายอีกคนเห็นเหตุการณ์ ก็พยายามเข้ามาช่วยเหลือแต่ถูกชาย ๒ คน ผลักจนได้รับบาดเจ็บ ภายหลังชาย ๒ คน วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปและตะโกนว่า “ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูเป็นใคร ให้ไปดูที่กล้องวงจรจรปิด เดี๋ยวก็รู้ว่ากูเอง”
นายวรเจตน์กล่าวว่าผลการตรวจร่างกายที่ ร.พ. แพทย์พบบาดแผลฟกช้ำและรอยขีดข่วนทั่วใบหน้า
ด้านขวาตั้งแต่โหนกแก้ม กรามด้านขวาไปจนถึงหน้าผาก และมีเลือดไหลออกจากจมูก สาเหตุที่ถูกทำร้ายครั้งนี้ตนไม่ทราบเพราะที่ผ่านมาไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทกับใคร เชื่อว่าน่าจะมาจากการเคลื่อนไหวแก้กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ภายหลังนายวรเจตน์พบแพทย์แล้วมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงครามฝ่ายสืบสวน ๒ นาย เดินทางไปดูแลความปลอดภัย เมื่อนายวรเจตน์รักษาตัวเสร็จก็นำตัวกลับไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากพนักงานสอบสวนรอสอบปากคำอยู่ ทางตำรวจทราบเบื้องต้นว่าคนร้ายเป็นชาย ๒ คน ใช้รถจักรยานยนต์ไปก่อเหตุแล้วหลบหนีและตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุแล้ว
ต่อมานายสมคิด เลิศไพฑูรย์อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คว่า “ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้เหตุผลในการพูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ และขอประณามความรุนแรงทุกประเภทที่กระทำต่อคนธรรมศาสตร์และคนไทยด้วยกัน”
ภายหลังออกจากโรงพยาบาล นายวรเจตน์เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังขประไพ รอง ผบ.ช.น.ร่วมด้วย โดยกล่าวว่า จะเข้าแจ้งความและดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด ที่ผ่านมาตนเคยถูกข่มขู่ทางจดหมายและเผาหุ่นเท่านั้น ครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องการเคลื่อนไหวกับกลุ่มนิติราษฏร์ ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดแต่เคลื่อนไหวในฐานะนักวิชาการคนหนึ่ง
ด้านพล.ต.ต.วิชัย สังขประไพ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้ตนมาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ขณะนี้เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้ชัดเจน โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพได้ชัดเจนตั้งแต่คนร้ายไปนั่งรออยู่แถวที่เกิดเหตุอยู่ก่อนแล้ว และพล.ต.ต.วิชัย ได้อธิบายถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายทั้งสองอย่างละเอียด ทำให้เห็นว่าทางตำรวจรู้เบาะแสคนร้ายได้พอสมควร และยังรู้ถึงรถจักยานยนต์ และทะเบียนรถด้วยว่าหมายเลขอะไร ทำให้เชื่อแน่ว่าคงไม่มีปัญหาที่จะติดตามตัวคนร้ายได้ในเร็ววัน และยังบอกด้วยว่าจะให้ตำรวจมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับอาจารย์วรเจตน์อย่างใกล้ชิดด้วย
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น ๑ มีนาคม สองพี่น้องฝาแฝด นายสุพจน์และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ อายุ ๓๐ ปี ชาวจังหวัดปทุมธานี ก็เข้ามอบตัวที่ สน.ชนะสงคราม ยอมรับว่าเป็นคนร้ายที่เข้าไปชกต่อยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยผู้ต้องหาให้การว่าไม่เห็นด้วยกับคณะนิติราษฏร์ที่พยายามเคลื่อนไหวจะแก้กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยช่วงเช้าวันเกิดเหตุได้ขี่จักรยานยนต์ไปไหว้พระวัดพระแก้ว และเห็นว่าอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยจึงแวะไปนั่งเล่น กระทั่งเกิดความคิดจะระบายความแค้นนายวรเจตน์แกนนำกลุ่มนิติราษฏร์ จึงดักรอจังหวะที่นายวรเจตน์ขับรถมาจอดแล้วตรงเข้าทำร้ายร่างกายก่อนหนีไปบ้านเพื่อนที่ปทุมธานี รอจนเช้าถึงตัดสินใจมามอบตัว
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของฝาแฝดในประเด็นว่าไม่ได้วางแผนมาก่อนหน้า เนื่องจากพฤติกรรมว่าน่าจะติดตามความเคลื่อนไหวของนายวรเจตน์มานานพอสมควร ถึงรู้ว่าขับรถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร และจอดรถบริเวณไหนของมหาวิทยาลัย พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน จากนั้นก็นำตัวไปสอบสวนและสอบปากคำเพิ่มเติมที่บช.น.
จากการสอบประวัติของผู้ต้องหาตระกูลศิลารัตน์ พบว่านายสุพจน์แฝดผู้พี่เคยถูกจับกุมคดีมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตขณะขับรถผ่านด่านตรวจบริเวณประชาอุทิศ ถนนสรงประภา เขตดอนเมืองเมื่อปี ๒๕๕๓ ส่วนนายสุพัฒน์ผู้น้องมีประวัติถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นกลางสี่แยกไฟแดง ก.ม.๒๗ ถนนพหลโยธิน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง เมื่อปี ๒๕๔๔
ทั้งสองคนมีพฤติกรรมและนิสัยรุนแรง ชอบเล่นปืนเคยแข่งกีฬายิงปืนตามสนามยิ่งปืนต่างๆ เพื่อล่ารางวัลอยู่บ่อยครั้ง