xs
xsm
sm
md
lg

องค์กรมาตรฐาน-คนรู้ทันเริ่มขยับต้านรื้อ รธน.ไม่แห้วก็ต้องป่วน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

เริ่มเปิดหน้าเปิดตัวออกมาให้เห็นกันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นาทีนี้ดูแล้วไม่มีใครอ้อมค้อมซุกอยู่ในที่มืดรอดูท่าทีเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะแม้แต่ศาลยุติธรรมโดยสำนักงานศาลก็ยัง “อยู่ไม่เป็นสุข” ถึงกับมีการตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และสมควรดำเนินการแบบนี้อย่างยิ่ง เนื่องจากมีการส่งสัญญาณเข้ามาอย่างชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายของการแก้ไข หรือถ้าเรียกให้ถูกต้องก็คือ การฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อร่างใหม่นั้นมีจุดโฟกัสสำคัญก็คือ การเข้าไป “รื้อศาล” กันทั้งระบบ

ลักษณะก็อาจเป็นไปได้ว่า อาจถึงขั้น “ขุดรากถอนโคน” กันเลยก็ได้ อย่าทำเป็นเล่นไป!!

เพราะการให้สัมภาษณ์มาจากต่างประเทศล่าสุด ของ ทักษิณ ชินวัตร ก็เปิดเผยออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วว่าต้องการเข้ามารื้อศาล และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่เคยตัดสินความผิด ยึดทรัพย์และตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้นถือว่าเป็นหนามตำใจมานานหลายปี ให้หลุดออกไปเสียที

เมื่อได้โอกาสก็ต้อง “จัดเต็ม-จัดหนัก” อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ยังถือว่ามีการประเมินสถานการณ์ได้เข้าใจยังรู้จักผ่อนแรงลงไปบ้าง หลังจากมีการสั่งเบรก ยังไม่แตะต้องไม่เข้าไปรื้อในหมวดพระมหากษัตริย์โดยตรง รวมทั้งประกาศไม่แก้ไขพระราชบัญญัติสภากลาโหม ไม่เข้าไปเขย่าในกองทัพเพื่อสร้างปัญหาขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

สรุปก็คือ สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร กำลังทำอยู่ก็คือการ “จัดลำดับก่อนหลัง” นั่นคือยังไม่แตะประเด็นอ่อนไหวและของร้อน เน้นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าก่อน เพราะหากทำความเข้าใจตามสถานการณ์ก็ต้องเข้าใจตรงกันว่าการเข้ามารื้อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็เพื่อต้องการปลดล็อก ปลดพันธนาการให้ตัวเองได้เป็นอิสระ นั่นคือทำให้ตัวเองพ้นจากความผิด ได้กลับมามีอำนาจทางการเมือง และได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดไปคืนมา นี่คือสาระหลัก

ขณะเดียวกัน สำหรับเป้าหมายในวันข้างหน้า หากพิจารณาจากการส่งสัญญาณการแก้ไขมาจากแดนไกลของ ทักษิณ เที่ยวนี้ ให้รื้อระบบศาลและองค์กรอิสระ ซึ่งหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่ผ่านมาด้วยกลไกลดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำให้เขาต้องระหกระเหินเป็น “สัมภะเวสี” อยู่ในต่างแดนมาจนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญเขายังไม่อาจเข้าไปแทรกแซง หรือ “ซื้อ” ได้เลย เมื่อมีโอกาสมันก็ของแน่อยู่แล้ว ว่าต้อง “รื้อ” แน่นอน ทั้งที่ใจจริงอยากจะ “ยุบทิ้ง” เสียด้วยซ้ำ

การให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อครั้งล่าสุดยังไปไกลกว่านั้นอีกก็คือ จะรุกคืบเข้าไปรื้อถึงระบบศาลยุติธรรม คือ ศาลฎีกาอีกด้วย โดยมีการแย้มออกมาให้เห็นว่าในอนาคตอยากให้ “ประธานศาลฎีกาต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา” โดยอ้างว่านี่คือ “มาตรฐานสากล” ยึดโยงกับประชาชนคือการเลือกตั้งในความหมายของเขา

หากให้สรุปอีกทีก็ต้องบอกว่า นอกเหนือจากการรื้อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว ทักษิณ ยังส่งสัญญาณเข้าไปรื้อศาลยุติธรรม โดยเฉพาะตำแหน่ง “ประธานศาลฎีกา” ที่เขาบอกว่าต่อไปจะต้องได้รับการเห็นชอบหรืออนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน ซึ่งหากเป็นแบบนี้จริงแม้ว่าจะไม่มีการแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่มีความหมายคือ ไปกระทบกับ “พระราชอำนาจ” เนื่องจากแต่เดิมศาลกระทำใน “พระปรมาภิไธย”

อย่างไรก็ดี การออกมาแสดงท่าทีเพิ่มความชัดเจนของทักษิณอีกด้านหนึ่ง มันก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับทราบถึงความต้องการกันตั้งแต่ต้นมือ หลังจากก่อนหน้านี้มีคำพูดที่ส่งผ่านออกมาในลักษณะตัวแทนแบบโยนหินถามทาง ยังไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม แต่เมื่อรู้แล้วก็ทำให้เคลื่อนไหวกันได้ง่าย เพราะเวลานี้ได้มีหลายกลุ่มต่างทยอยออกมาคัดค้านมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะองค์กรมาตรฐานที่ต่างแสดงท่าทีขัดขวางกันอย่างครบครัน

เริ่มจากศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ที่ออกโรงโต้ทันควันหลังจากรับรู้ว่าจะมีการแก้ไขเพื่อยุบหรือลดบทบาทลง ถัดมาก็มีผู้ตรวจการแผ่นดินที่ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาขึ้นมาจำนวน 10 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ชั้นเซียน เพื่อติดตามประกบการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ และเริ่มประชุมกำหนดท่าทีกันไปบ้างแล้ว และที่น่าสนใจก็คือ ศาลยุติธรรม ที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามอย่างเกาะติด อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่องค์กรดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก

นี่ยังไม่นับบรรดาองค์กรอื่นๆ เช่น ชมรม ส.ส.ร.ปี 50 มวลชนหลากหลายกลุ่ม ฝ่ายค้าน ที่เริ่มทยอยกันออกมาคัดค้าน คาดว่าจะเป็นการสร้างกระแสเพิ่มดีกรีให้ร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่า ฝ่ายทักษิณ จะเลี่ยงไม่แตะของร้อนชั่วคราว แต่การรุกเข้ามารื้อศาลและองค์กรอิสระ เพื่อลดทอนอำนาจการตรวจสอบของนักการเมือง รวมถึงมีความหมายจะลบล้างความผิดอย่างชัดเจน แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากการ “เรียกแขก” มันก็เสี่ยง “แห้ว” หรือ “ป่วน” แน่นอน

อย่าลืมว่า นับวันมีแต่คนรู้ทันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และไม่อยู่นิ่งเฉยเหมือนก่อนแล้ว!!
กำลังโหลดความคิดเห็น