รองเลขาฯ สมาคมนักข่าวฯ ชี้ “เฉลิม” เดินสายฟ้องหมิ่นเอเอสทีวีผู้จัดการ ไทยรัฐ ไทยโพสต์ แนวหน้า สยามรัฐ คมชัดลึก กรุงเทพธุรกิจ ส่อขัดเจตนารมณ์กฎหมาย สับใช้เป็นเครื่องมือปิดกั้นสื่อไม่ให้สอบนักการเมือง ไล่ไปฟ้องคนพูด พร้อมชงถกที่ประชุมหากไม่เลิกคุกคาม เตือนรัฐอย่าลืมคำแถลงนโยบายให้เสรีภาพ
วันนี้ (29 ก.พ.) นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ รองเลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ทนายส่วนตัวไปร้องทุกข์กล่าวโทษหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ ได้แก่ ไทยรัฐ ไทยโพสต์ แนวหน้า และสยามรัฐ ได้กระทำการผิดประมาทในการตีพิมพ์ข่าวที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิมดื่มสุราจนมีอาการเมามายเข้าประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ต่อมาได้ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์เพิ่มเติมอีก 3 ฉบับ ประกอบด้วย คมชัดลึก กรุงเทพธุรกิจ และเอเอสทีวีผู้จัดการ ในข้อหาเดียวกัน การเดินสายฟ้องร้องหนังสือพิมพ์หลายฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม แม้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท แต่การฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวตามข้อเท็จจริงตามหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดีด้วยกฎหมายอาญาที่มีโทษถึงขั้นจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี ย่อมหมิ่นเหม่ต่อการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายหมิ่นประมาทที่มุ่งเอาผิดต่อผู้ที่ใส่ร้ายผู้อื่นให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่นเกลียดชัง มิใช่มีไว้เพื่อให้นักการเมือง ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ใช้เป็นเครื่องมือในการปิดกั้นสื่อมวลชนมิให้ทำหน้าที่ ตรวจสอบการทำหน้าที่ของนักการเมืองตามปกติ
“การฟ้องร้องหนังสือพิมพ์หลายฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม ถือเป็นใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท ซึ่งไม่ได้มีไว้ให้นักการเมืองนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปิดกั้นสื่อมวลชนไม่ให้ทำหน้าที่ของตัวเองได้ ทางที่ดี ร.ต.อ.เฉลิม น่าจะมุ่งดำเนินการฟ้องร้องนักการเมืองฝ่ายค้านที่ทำให้ตนเองเสียหายมากกว่า” นายปราเมศกล่าว
นายปราเมศกล่าวต่อว่า หาก ร.ต.อ.เฉลิมยังไม่หยุดพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการคุกคามขัดขวางการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ทางคณะกรรมการบริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ จะนำเรื่องนี้หารือในที่ประชุมเพื่อดำเนินการในด้านอื่นๆต่อไป พร้อมทั้งอยากฝากไปถึงรัฐบาลด้วยว่า อย่าลืมคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ระบุว่าจะส่งเสริมให้สื่อสารมวลชนทุกประเภทมีอิสระและเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และตระหนักต่อจรรยาบรรณของสถาบันสื่อสารมวลชน รวมทั้งส่งเสริมให้มีการสร้างดุลยภาพของข่าวสาร
