“ยุทธศักดิ์” รอความชัดเจนกลุ่มใดก่อเหตุบึ้มกลางกรุง แม้อิหร่านจะอ้างว่า กลุ่ม MKO เป็นผู้ปฏิบัติการ ด้าน “สุกำพล” ชี้อาจเป็นการตอบโต้กันทางการเมือง แต่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เช้าวันนี้ (22 ก.พ.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ครม.สัญจร ถึงกรณีที่ทางการอิหร่านออกมาเปิดเผยว่าคนที่ก่อเหตุระเบิดในประเทศไทยนั้นน่าจะเป็นขบวนการประชาชนมูจาฮิดีนอิหร่าน (MKO) ว่า ตนยังไม่ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวจึงยังไม่ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริง คงต้องรอการรายงานสถานการณ์ให้มาถึงตนก่อน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ที่ก่อเหตุระเบิดในประเทศไทยนั้นเป็นกลุ่มขบวนการประชาชนมูจาฮิดีนอิหร่าน (MKO) ที่เป็นผู้สร้างสถานการณ์จริงหรือไม่ คงต้องขอรอดูความชัดเจนก่อน
ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศอิหร่านพูดเรายังไม่ได้รับรายงาน ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นการตอบโต้กันทางการเมือง ดังนั้นคงจะต้องตรวจสอบฝ่ายข่าวก่อนว่ามีข้อมูลอย่างไรบ้าง ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ ไม่ใช่ว่าจะให้เชื่อในสิ่งที่เขาบอกมาเลย คงจะไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าใช่การกระทำของกลุ่มดังกล่าวจริงหรือไม่ แต่ลักษณะการก่อเหตุไม่ใช่มืออาชีพ แต่น่าจะเป็นมิติใหม่ที่ไม่ใช่คนที่มีประวัติ เพราะจะเดินทางเข้าออกประเทศได้ยาก ดังนั้นเมื่อเป็นมือใหม่ก็คงจะต้องติดตามดู
ส่วนการขอตัวผู้ต้องหาที่ทางการมาเลเซียจับกุมไว้ได้ 1 คนนั้น พล.อ.อ.สุกำพลคาดว่า ภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่ ซึ่งอยู่มนขั้นตอนของการดูรายละเอียด เกี่ยวกับขั้นตอนของการขอตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น.ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒแห่งประเทศไทยและเครือข่าย พร้อมด้วย นพ.บุญช่วย เทพยศ จิตแพทย์หัวหน้ากลุ่มงานจิตเวช ประจำโรงพยาบาลอุดรธานี ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ประจำเผนกจิตเวชบางคนที่ไม่ตั้งใจในการดูแลคนไข้หรือปล่อยปละละเลยคนไข้ รวมทั้งขอให้ลงโทษตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิดทั้งหมดด้วย
ทั้งนี้ ในหนังสือที่ร้องเรียนยังระบุด้วยว่า ได้เคยร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุขแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด และคณะผู้บริหารของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ลงโทษตามวินัยต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงหวังพึ่งคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป
