สมาคมนักข่าววิทยุฯ จัดเสวนาถกร่างแผนแม่บทบริหารความถี่ ตามที่ กสทช.เสนอ ตั้งข้อสังเกตแผนคลุมเครือทั้งในประเด็นอายุการใช้งาน-หลักเกณฑ์ และวิธีการกำกับดูแลด้านเนื้อหารายการ เตรียมจัดทำร่างฯประกบเพื่อให้กสทช.นำไปพิจารณาจันทร์นี้
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่ศูนย์ศึกษากฎหมายและนโยบายสื่อมวลชน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้จัดประชุมเสวนาผ่าแผนแม่บทบริหารวิทยุโทรทัศน์ เพื่อหารือและร่วมกันแสดงความคิดเห็นที่มีต่อร่างแผนแม่บทบริหารความถี่ แผนแม่บทบริการกิจการกระจายเสียงและกิจการ ตามที่ กสทช.กำลังจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะอยู่ในขณะนี้ นั้น ที่ประชุมมีความเห็นต่อร่างแผยแม่บททั้งสองแผนโดยสรุปดังนี้
1.ร่างแผนแม่บททั้งสองแผนโดยภาพรวม ยังมีความขัดแย้งกัน เช่น แผนแม่บทคลื่นความถี่กำหนดให้ “กรณีที่มิได้กำหนดอายุการใช้คลื่นความถี่ไว้ กสทช.จะกำหนดเวลาการสิ้นสุด ทั้งนี้ กิจการกระจายเสียงให้มีระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโทรทัศน์ไม่เกิน 10 ปี” แต่ในแผนแม่บทบริหารกิจการฯ ที่กำหนดให้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐคืนคลื่นความถี่ กลับกำหนดให้มีการคืนคลื่นความถี่ภายใน 2 ปี และจะพิจารณาให้ได้ใช้ภายใน 3 ปี นอกจากนี้ ยังไม่มีความครบถ้วน ครอบคลุมสาระสำคัญที่ควรอยู่ในแผน เช่น แผนการปรับเปลี่ยนระบบการออกอากาศวิทยุโทรทัศน์ไปเป็นระบบดิจิตอล ที่ กสทช.แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมานั้น ควรได้รับการบรรจุไว้ในร่างแผนแม่บทด้วย เพราะเป็นรายละเอียดที่สำคัญ และควรผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ แต่กลับไม่ได้รับการบรรจุไว้ในร่างแผนแม่บทฯ เป็นต้น
2.การคืนคลื่นความถี่ ควรมีกำหนดระยะเวลาไม่นานเกินไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์การปฏิรูปสื่อ และควรเริ่มดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.ชุดนี้ โดยควรกำหนดระยะเวลาคืนคลื่นในกิจการกระจายเสียงไม่เกิน 2 ปี และกิจการโทรทัศน์ไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะทำให้ปัญหาต่างๆ ที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาวิทยุชุมชนไม่ถูกละเลย หรือเพิกเฉยต่อไป
นอกจากนี้ ยังพบว่า แนวทางการจัดสรรคลื่นความถี่ยังไม่มีความชัดเจนในกรณีที่มีการอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรทัศน์ว่า จะมีการอนุญาตให้ใช้เป็น “ช่องรายการ” หรือ “เป็นย่านความถี่” ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาแบ่งเป็นช่องรายการได้อีกหลายช่อง โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการในลักษณะเป็น “ช่องรายการ”
3.การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำกับดูแลด้านเนื้อหารายการ กสทช.ควรมีแนวทางการกำหนดบทบาทหน้าที่ของตนเองเพื่อการกำกับดูแลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงไว้ให้ชัดเจน
4.การส่งเสริมการรวมกลุ่มกันของผู้ประกอบวิชาชีพ ควรมีการจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อรองรับไว้ด้วย เช่น ต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่พึงประสงค์ในการรวมตัวกันเป็นองค์กรวิชาชีพ ว่าควรมีลักษณะเช่นใด องค์กรวิชาชีพนั้นๆต้องมีกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นระบบอย่างไร เมื่อมีการใช้มาตรการใดๆ ทางจริยธรรมกับองค์กรสมาชิกต้องรายงานและส่งสำนวนการสอบสวนมาประกอบเพื่อให้ กสทช.รับทราบด้วย เป็นต้น
5.ควรมีการกำหนดว่าจะมีการจัดทำหลักเกณฑ์การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนาฯเพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความคิดเห็นในประเด็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างร่างแผนทั้งสองแผนกับแนวทางที่ควรจะนำมาปฏิบัติได้จริงอีกหลายประการ โดยที่ประชุมสรุปว่าจะนำเสนอความคิดเห็นทั้งหมดที่ได้รับจากการประชุมวันนี้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะเพื่อเสนอต่อ กสทช. ในนามสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 เพื่อให้ กสทช.รับไปพิจารณาปรับปรุงร่างแผนแม่บททั้งสองในรายละเอียดต่อไป
วันนี้ (17 ก.พ.) ที่ศูนย์ศึกษากฎหมายและนโยบายสื่อมวลชน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้จัดประชุมเสวนาผ่าแผนแม่บทบริหารวิทยุโทรทัศน์ เพื่อหารือและร่วมกันแสดงความคิดเห็นที่มีต่อร่างแผนแม่บทบริหารความถี่ แผนแม่บทบริการกิจการกระจายเสียงและกิจการ ตามที่ กสทช.กำลังจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะอยู่ในขณะนี้ นั้น ที่ประชุมมีความเห็นต่อร่างแผยแม่บททั้งสองแผนโดยสรุปดังนี้
1.ร่างแผนแม่บททั้งสองแผนโดยภาพรวม ยังมีความขัดแย้งกัน เช่น แผนแม่บทคลื่นความถี่กำหนดให้ “กรณีที่มิได้กำหนดอายุการใช้คลื่นความถี่ไว้ กสทช.จะกำหนดเวลาการสิ้นสุด ทั้งนี้ กิจการกระจายเสียงให้มีระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโทรทัศน์ไม่เกิน 10 ปี” แต่ในแผนแม่บทบริหารกิจการฯ ที่กำหนดให้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐคืนคลื่นความถี่ กลับกำหนดให้มีการคืนคลื่นความถี่ภายใน 2 ปี และจะพิจารณาให้ได้ใช้ภายใน 3 ปี นอกจากนี้ ยังไม่มีความครบถ้วน ครอบคลุมสาระสำคัญที่ควรอยู่ในแผน เช่น แผนการปรับเปลี่ยนระบบการออกอากาศวิทยุโทรทัศน์ไปเป็นระบบดิจิตอล ที่ กสทช.แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมานั้น ควรได้รับการบรรจุไว้ในร่างแผนแม่บทด้วย เพราะเป็นรายละเอียดที่สำคัญ และควรผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ แต่กลับไม่ได้รับการบรรจุไว้ในร่างแผนแม่บทฯ เป็นต้น
2.การคืนคลื่นความถี่ ควรมีกำหนดระยะเวลาไม่นานเกินไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์การปฏิรูปสื่อ และควรเริ่มดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.ชุดนี้ โดยควรกำหนดระยะเวลาคืนคลื่นในกิจการกระจายเสียงไม่เกิน 2 ปี และกิจการโทรทัศน์ไม่เกิน 4 ปี ซึ่งจะทำให้ปัญหาต่างๆ ที่รอการแก้ไข เช่น ปัญหาวิทยุชุมชนไม่ถูกละเลย หรือเพิกเฉยต่อไป
นอกจากนี้ ยังพบว่า แนวทางการจัดสรรคลื่นความถี่ยังไม่มีความชัดเจนในกรณีที่มีการอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรทัศน์ว่า จะมีการอนุญาตให้ใช้เป็น “ช่องรายการ” หรือ “เป็นย่านความถี่” ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาแบ่งเป็นช่องรายการได้อีกหลายช่อง โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการในลักษณะเป็น “ช่องรายการ”
3.การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำกับดูแลด้านเนื้อหารายการ กสทช.ควรมีแนวทางการกำหนดบทบาทหน้าที่ของตนเองเพื่อการกำกับดูแลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงไว้ให้ชัดเจน
4.การส่งเสริมการรวมกลุ่มกันของผู้ประกอบวิชาชีพ ควรมีการจัดทำหลักเกณฑ์เพื่อรองรับไว้ด้วย เช่น ต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่พึงประสงค์ในการรวมตัวกันเป็นองค์กรวิชาชีพ ว่าควรมีลักษณะเช่นใด องค์กรวิชาชีพนั้นๆต้องมีกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นระบบอย่างไร เมื่อมีการใช้มาตรการใดๆ ทางจริยธรรมกับองค์กรสมาชิกต้องรายงานและส่งสำนวนการสอบสวนมาประกอบเพื่อให้ กสทช.รับทราบด้วย เป็นต้น
5.ควรมีการกำหนดว่าจะมีการจัดทำหลักเกณฑ์การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนาฯเพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความคิดเห็นในประเด็นความไม่สอดคล้องกันระหว่างร่างแผนทั้งสองแผนกับแนวทางที่ควรจะนำมาปฏิบัติได้จริงอีกหลายประการ โดยที่ประชุมสรุปว่าจะนำเสนอความคิดเห็นทั้งหมดที่ได้รับจากการประชุมวันนี้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะเพื่อเสนอต่อ กสทช. ในนามสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 เพื่อให้ กสทช.รับไปพิจารณาปรับปรุงร่างแผนแม่บททั้งสองในรายละเอียดต่อไป