รองโฆษกรัฐบาล ฟุ้งผลงาน 6 เดือนแรก นโยบายเร่งด่วนสำเร็จแล้ว 5 โครงการ จาก 16 นโยบาย “สารวัตรเหลิม” ดันปรายยาเสพติดเป็น “วาระแห่งภูมิภาค” สธ.จ่อฟื้น 30 บาทรักษาทุกโรค ลั่นพัฒนาคุณภาพ 4 ด้าน เชื่อ ค่าแรง 300 บาท ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ชาวบ้าน วอนผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ
วันนี้ (8 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีผู้เป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละนโยบาย ว่า ภายหลังจากผ่าน 5 เดือนเศษของรัฐบาลนี้ มีนโยบายที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 5 โครงการจาก 16 นโยบายเร่งด่วนที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ได้แก่ โครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือน ต.ค.54 โครงการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 23 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2555 และจะให้เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2556 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555 ที่ผ่านมา และล่าสุด โครงการปรับโครงสร้างขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 15,000 บาท ซึ่งจะมีผลย้อนหลัง 1 ม.ค.2555 รวมไปถึงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่จะเริ่มในวันที่ 1 เม.ย.2555 ขณะที่อีก 11 นโยบายยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ และได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นผู้รวบรวมข้อมูลทำรายงานสรุปห้วงเวลาการดำเนินการของแต่ละโครงการให้คณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานความคืบหน้าในการปราบปรามยาเสพติด โดยเห็นว่าการกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติคงไม่เพียงพอ เพราะพบว่า ทั่วโลกมีผู้ติดยาเสพติดกว่า 210 ล้านคน ทำให้จำเป็นต้องมีการผลักดันให้มีประกาศการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งภูมิภาค โดยจะดำเนินการใน 2 มาตรการควบคู่กันไป คือ การปราบปรามและการบำบัด เพราะจากการสำรวจ พบว่า มีคนไทยติดยาเสพติดทั่วประเทศกว่า 400,000 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องศึกษาในรายละเอียด และเตรียมที่จะประชุมเชิงปฏิบัติการในภูมิภาคด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกำชับให้เร่งผลักดันการเข้าถึงแหล่งทุนขแงประชาชนผ่าน 5 กองทุน ได้แก่ กองทันหมู่บ้าน กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง กองทุนเอสเอ็มแอล กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และกองทุนตั้งตัวได้
นายอนุสรณ์ เปิดเผยด้วยว่า ด้านกระทรวงสาธารณสุข ยังได้รายงานความคืบหน้าการนำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ซึ่งจะปรับเปลี่ยนเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคยุคใหม่ ที่จะมีการดำเนินการให้คลุมใน 4 ลักษณะ คือ 1.ใกล้บ้านใกล้ใจ ที่จะมีการสนับสนุนให้มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ชุมชน 2.มียาดีใช้เพียงพอ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาคุณสมบัติของตัวยา และนำยาที่มีคุณภาพสูงเข้าร่วมโครงการ 3.ไม่ต้องรอเวลารักษานาน เช่น มะเร็งต้องรอเวลารักษาไม่เกิน 3 เดือน หรือผู้ป่วยนอกปกติต้องใช้เวลาในโรงพยาบาลไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง และ 4.จัดการโรคเรื้อรัง ซึ่งจะส่งเสริมให้มีแพทย์เฉพาะทางรักษาโรค เพื่อให้ครอบคลุมทุกโรค ลดการกินยา และไม่เลี้ยงไข้
ด้าน นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า การที่รัฐบาลได้ดำเนินการนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากที่จัดเก็บอยู่ 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 23 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2555 และเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2556 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555 รวมไปถึงนโยบายการปรับโครงสร้างขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 15,000 บาท และค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่จะเริ่มในวันที่ 1 เม.ย.2555 นั้น เป็นการดำเนิน 2 นโยบายเพื่อให้สอดคล้องกัน ซึ่งการปรับฐานเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้ผู้ประกอบการมีงบประมาณในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขึ้นค่าแรงให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเชื่อว่าการดำเนินการทั้ง 2 นโยบายนี้จะเป็นการเพิ่มรายได้และเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน