นายกฯ ประชุม ครม.วงเล็กตรวจการบ้านรายกระทรวง “กิตติรัตน์” โอ่งานยังเป็นไปตามแผน มั่นใจเก็บรายได้ตามเป้าหมาย 1.98 ล้านล้านบาท รับปากดีเดย์ค่าแรง 300 บางจังหวัด 1 เม.ย.นี้ คาดไม่เกิน 4 เดินคลอดบัตรเครดิตเกษตรกร ย้ำไทยค่าครองชีพถูกกว่าเพื่อนบ้าน
วันนี้ (8 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติเพื่อติดตามการดำเนินนโยบายของรัฐบาลว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกทุกกระทรวงที่เป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละนโยบายมาติดตามเพื่อสอบถามว่ามีเรื่องใดที่ติดขัดทำให้เกิดความล่าช้าบ้าง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญในนโยบายทุกด้านตั้งแต่เศรษฐกิจ ความมั่นคง ยาเสพติด การศึกษา และการกีฬา ซึ่งยอมรับว่าบางส่วนมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด เนื่องจากเกิดปัญหาอุทกภัยเมื่อปลายปีก่อน ซึ่งเมื่อมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาแล้วก็จะสามารถเร่งดำเนินการภารกิจของทุกกระทรวงได้ดีขึ้น
นายกิตติรัตน์กล่าวต่อว่า ในส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ตนเองรับผิดชอบได้ชี้แจงไปแล้วว่าการจัดเก็บรายได้ขณะนี้ยังอยู่ในแผนงานตามเป้าหมายที่วางไว้ 1.98 ล้านล้านบาทตามเดิม ส่วนนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ยืนยันว่าจะสามารถเริ่มขึ้นค่าแรงในวันที่ 1 เม.ย.นี้ในบางจังหวัด ตามมติคณะกรรมการไตรภาคี ส่วนนโยบายรับจำนำข้าวนาปีที่จะจบโครงการในวันที่ 19 ก.พ.นี้ และจะประกาศนโยบายจำนำข้าวนาปรังต่อ โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง รวมไปถึงการดูแลตลาดล่างหน้าของสินค้าการเกษตรอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมไปถึงฤดูกาลผลิตหน้าด้วย เช่นเดียวกับในส่วนของนโยบายการให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆ ในการเดินหน้ากองทุนหมู่บ้าน กองทุนเอสเอ็มแอล กองทุนตั้งตัวได้ และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สำหรับโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร คาดว่าอีก 3-4 เดือน เกษตรกรจะได้ใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กำลังประสานงานกับร้านค้าต่างๆเพื่อรองรับโครงการ
ผู้สื่อข่าวถามถึงการแก้ไขสภาวะค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น นายกิตติรัตน์กล่าวว่า เข้าใจว่าไข่ยิ่งลักษณ์ยังถูกกว่าไข่ของรัฐบาลอื่น พร้อมยืนยันว่าในส่วนของต้นทุนพลังงาน ราคาขายปลีกยังไม่ปรับขึ้น เพราะยังไม่มีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และยังไม่มีการเพิ่มภาษีสรรพสามิต จึงยืนยันว่าราคาอาหารและก๊าซหุงต้มในประเทศไทยถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้นบ้าง เพราะประเทศไทยเป็นระบบธุรกิจแบบเปิด อย่างไรก็ตามจะพยายามดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการค้ากำไรเกินควร และเพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนมากจนเกินไป