อดีตเลขาธิการพรรครักประเทศไทย ท้า “ชูวิทย์” เปิดคลิปตัวเต็ม ปัดของบทำถนนหน้าบ้าน แค่สะท้อนความเดือดร้อน ปชช.สับ หน.พรรค มัวแต่แฉสร้างชื่อตัวเอง ไม่เห็นหัวชาวบ้าน ฉะยับ บริหารพรรคเหมือนทาสในเรือนเบี้ย ขู่แจ้งความ สภ.อ.ปากพนัง เพิ่มเติม พร้อมตั้งโต๊ะลากไส้ “เสี่ยอ่าง”
วันนี้ (6 ก.พ.) นายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ที่ระบุว่า ได้ให้ นายชัยวัฒน์ ลาออกจากสมาชิกพรรค เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายใช้ตำแหน่ง ส.ส.หาผลประโยชน์ว่า ขณะนี้ได้เตรียมการในส่วนของการต่อสู้ด้านกฎหมายไว้แล้ว โดยในส่วนของการแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น ตนได้แจ้งปฏิเสธ และไม่รับรองการลงรายมือชื่อในหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรค ที่ นายชูวิทย์ ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้ ส่วนเรื่องที่ นายชูวิทย์กล่าวอ้างว่า มีพยานหลักฐานว่า ตนลงนามในหนังสือฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ม.ค.55 นั้น ขอเรียกร้องให้นายชูวิทย์ นำออกมาเปิดเผยว่า ตนลงนามที่ไหน เวลาไหน เพราะอย่าลืมว่าวันดังกล่าวตนเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีประจักษ์พยานชัดเจนเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกล่าวที่ว่า นายชัยวัฒน์ เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำงบประมาณไปก่อสร้างถนนผ่านหน้าบ้านตัวเอง นายชัยวัฒน์ กล่าวยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของงบประมาณ เพราะไม่ได้เป็นกรรมาธิการงบประมาณ แต่นายชูวิทย์ เป็นกรรมาธิการ น่าจะรู้เรื่องนี้ดี ที่ผ่านมา ตนก็ทำหน้าที่ ส.ส.ที่สะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะการหารือในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้พยายามนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่มาแจ้ง เพื่อให้รัฐบาลเข้าไปดูแล ขณะที่ นายชูวิทย์ ต่างหากที่ไม่สนใจความทุกข์ของประชาชน กลับสนใจแค่ออกมาแฉเรื่องนั้นเรื่องนี้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเท่านั้น
เมื่อถามว่า นายชูวิทย์ พยายามโจมตีว่า นายชัยวัฒน์ มีพฤติกรรมสนิทสนมกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และหวังที่จะไปลงสมัคร ส.ส.เขต กับพรรคเพื่อไทย นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ตนสนิทสนมกับหลายคนในทุกพรรคการเมือง เพราะอยู่ในแวดวงการเมืองมากว่า 30 ปี การไปมีความสัมพันธ์หรือรู้จักใครเป็นเรื่องปกติ นายชูวิทย์ ต่างหากที่ไม่รู้จักใคร และไม่มีคอนเนกชัน แม้แต่ในพรรคฝ่ายค้านด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า นายชูวิทย์ ไม่ควรเบี่ยงเบนประเด็น อย่านำเรื่องของบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเรื่องนี้เป็นความขัดแย้งของตนกับนายชูวิทย์เท่านั้น
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ตนได้รับเลือกตั้งเข้ามาในฐานะ ส.ส.พรรครักประเทศไทย ที่ประชาชนต้องการให้เข้ามาเป็นฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาล ตอนนี้ก็ทำหน้าที่นี้อยู่ เพื่อตอบแทนเจตนารมณ์ของ 1 ล้านเสียง ที่เลือกพรรครักประเทศไทยเข้ามา ตรงนี้นายชูวิทย์ อย่าเข้าใจว่า เป็นคะแนนเสียงของตัวเองทั้งหมด เพราะหากประชาชนจะเลือกนายชูวิทย์ ก็ลงคะแนนให้เพียง 3 แสนคะแนนก็พอ แต่เมื่อมีประชาชนทั่วประเทศลงให้ถึง 1 ล้านเสียง ก็แสดงว่า คาดหวังให้มี ส.ส.คนอื่นๆ เข้ามาทำงานด้วย อย่าหลงดีว่าเป็นคะแนนความนิยมของตัวเองคนเดียว
เมื่อถามว่า การที่ นายชูวิทย์ พยายามทำให้ นายชัยวัฒน์ หลุดออกจากตำแหน่ง ส.ส.เพื่อต้องการให้คนของตัวเองมาเป็นแทนหรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับ นายสมเพชร แต่งงาม รองเลขาธิการพรรค และผู้สมัครบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 นั้น เป็นเพียงลูกน้องที่โรงแรมของนายชูวิทย์ เช่นเดียวกับผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ก็เป็นพนักงานในโรงแรมเช่นกัน มีเพียงผู้สมัครลำดับ 10 เท่านั้นที่ เป็นทีมงานของตน ด้วยสภาพของพรรครักประเทศไทยที่เป็นเช่นนี้ จนบางครั้งมีการประชุมก็แยกไม่ออกว่าเป็นการประชุมกรรมการบริหารพรรค หรือเป็นการประชุมบอร์ดของโรงแรมกันแน่
“คุณชูวิทย์ ต้องเข้าใจเสียใหม่ ว่า การจดทะเบียนพรรคการเมืองต้องจดกับ กกต.แต่การจดทะเบียนบริษัท ต้องไปจดที่กระทรวงพาณิชย์ อย่าเข้าใจระบบการเมืองผิด เพราะการเมืองไทยไม่ใช่ว่าใครมีเงิน เป็นนายทุน แล้วจะมาเป็นเจ้าของพรรคได้ สมัยนี้หมดยุคทาสแล้ว และผมก็ไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ยของใคร” นายชัยวัฒน์ ระบุ
สำหรับคลิปภาพการสนทนาที่นายชูวิทย์ นำออกมาเปิดเผยนั้น นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่า เป็นเพียงซีดีผี และไม่ได้หวั่นเกรงใดๆ อยากให้นายชูวิทย์ นำออกมาเปิดเผยทั้งฉบับ ไม่ใช่เหลือตัดต่อมาเพียงส่วนที่ตัวเองได้ประโยชน์ เมื่อเห็นฉบับเต็ม สังคมก็จะเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเอง เพราะเนื้อหาที่เหลือในคลิปนั้น จะทำให้เห็นว่าพรรครักประเทศไทยบริหารงานกันอย่างไร ที่สำคัญ ยังเป็นการเปิดเผยตัวตนของ นายชูวิทย์ อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกกังวลต่อการที่นายชูวิทย์ ประกาศจะแถลงข่าวเปิดคลิปตัวเต็มออกมาด้วย
ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ตนได้แจ้งความดำเนินคดี นายชูวิทย์ในข้อหาหมิ่นประมาทแล้ว 1 คดีที่ สน.ดุสิต แต่เมื่อนายชูวิทย์ แถลงข่าวและเปิดเผยคลิปวิดีโอออกมา ตนจึงตัดสินใจที่จะแจ้งความเพิ่มเติม โดยจะดำเนินการไปแจ้งความที่ สภ.อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ในวันเสาร์ที่ 11 ก.พ.นี้ ซึ่งจะมีการเปิดเผยทุกอย่างตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เพื่อประกาศให้คนนครศรีธรรมราชรู้ถึงตัวตนของนายชูวิทย์ด้วย