สะเก็ดไฟ
ต้องยอมรับว่าบทบาทของในฐานะ ส.ส.จอมแฉของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรครักประเทศไทย หลังได้เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรอีกคำรบในครั้งนี้ ก็ยังโดดเด่นและเป็นที่น่าสนใจตามสไตล์ “ปะ ฉะ ดะ” ของตัวเอง จนบดบังราศีของคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด
เรียกว่าสามารถใช้สถานะ “ฝ่ายค้านอิสระ” ส่งตัวเองกลายเป็น “ฮีโร่” ของสังคมในหลายวาระ และทำให้สังคมลืมเลือนไปว่า แท้จริงแล้ว “พรรครักประเทศไทย” ยังมี ส.ส.คนอื่นนอกเหนือจากตัว “ชูวิทย์” อยู่ด้วย ที่สำคัญพรรคนี้ไม่ได้ชื่อ “พรรคชูวิทย์” ตามที่เรียกขานกันชินปากตามชื่อเจ้าของพรรค
ด้วยความมีชื่อเสียงระดับ “เซเลบริตี” ทางการเมืองของ “ชูวิทย์” ที่แม้จะสามารถนำพาเพื่อนสมาชิกพรรคให้เข้ามาเป็น ส.ส.ประดับบารมีให้ตัวเองได้ถึง 3 คน แต่ภายหลังเข้ามาประจำการทำหน้าที่ผู้แทน กลับไม่มีใครจดจำ “ชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์-โปรดปราน โต๊ะราหนี-พงษ์ศักดิ์ เรือนแก้ว” ในฐานะ ส.ส.พรรครักประเทศไทยได้เลย
เหตุเพราะ “ชูวิทย์” ก็ยังเด่นจนกลบรัศมีคนอื่นไปหมด
จนล่าสุดเกิดข้อพิพาทภายในพรรค เมื่อมีการเปิดเผยจาก คณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต.ว่า ขณะนี้ได้มีการแจ้งจาก “ชูวิทย์” ในฐานะหัวหน้าพรรครักประเทศไทยว่า “ชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์” หนึ่งใน ส.ส.ของพรรค ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา
หากเป็นจริงก็หมายความว่า การลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคครั้งนี้จะทำให้การเป็น ส.ส.ของ “ชัยวัฒน์” สิ้นสุดลงไปด้วยตามรัฐธรรมนูญ นั่นจึงเป็นที่มาของหนังสือคัดค้านที่ “ชัยวัฒน์” ร่อนไปยัง กกต.ทันทีที่ทราบเรื่องว่า ตัวเองไม่ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคตามที่หัวหน้าพรรคแจ้งไป เพียงแต่ลาออกจากตำแหน่งเลาขาธิการพรรคเท่านั้น
ตอนนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่ยัง “อึมครึม” ซึ่งเป็นหน้าที่ กกต.จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
แต่อย่างหนึ่งที่มีความชัดเจนขึ้นมาคือ ความไม่เป็นเอกภาพในพรรครักประเทศไทย ที่แม้เป็นพรรคการเมืองเล็กมี ส.ส.แค่ 4 คน ก็ยังไม่สามารถบริหารจัดการสร้างความพอใจให้เกิดขึ้นภายในพรรคได้ เพราะเมื่อมีการประกาศไขก๊อกออกจากตำแหน่งสำคัญอย่างเลขาธิการพรรคที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “แม่บ้าน” และมีความสำคัญในระนาบใกล้เคียงกับคนที่เป็นหัวหน้าพรรค
แสดงว่างานนี้มีการ “เหยียบตาปลา” กันเกิดขึ้น
เรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหามาตลอดการทำงานของพรรครักประเทศไทย ก็หนีไม่พ้นการทำงานแบบ “ข้ามาคนเดียว” ของ “ชูวิทย์” ที่ไม่เพียงแต่คนในชายคาพรรคเดียวกันเท่านั้นที่รู้สึก คนภายนอกก็สัมผัสได้เช่นกัน นอกจากไม่แบ่งพื้นที่ให้เพื่อนๆได้แสดงบทบาทแล้ว ยังออกลูกพาลท้าตีท้าต่อยประกาศตัวเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ไม่ต่อสายขึ้นตรงต่อพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำฝ่ายค้านในสมัยปัจจุบันอีกด้วย
“วันแมนโชว์” สไตล์ “ชูวิทย์” จึงไม่พ้นที่จะถูกเขม่นยกพรรค ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมสังฆกรรมในวิปฝ่ายค้าน ความมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของพรรครักประเทศไทยจึงหายไป
3 ส.ส.โนเนมของพรรคจึงถูกกลืนตกอยู่ใต้เงา “ชูวิทย์” แบบสลัดไม่หลุด
ความอึดอัดตรงนี้เองที่ “ชัยวัฒน์” ได้พยายามปรับความเข้าใจและแนะนำให้ “ชูวิทย์” ปรับรูปแบบการทำงาน เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ทำงานบ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากหัวหน้าพรรคแม้แต่น้อย อีกทั้งการตั้งโต๊ะเปิดคลิปแฉบ่อน-ตำรวจ ก็ไม่เคยที่จะให้ลูกพรรคได้มีส่วน หรือแบ่งเครดิตให้อีกต่างหาก
ย้อนกลับไปดูร่องรอยความเป็นมาของ “ชูวิทย์-ชัยวัฒน์” จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ของ “หัวหน้า-ลูกน้อง” แต่เป็นในรูปแบบของ “เพื่อนรัก” ที่คล้องแขนเกี่ยวคอกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลายที่ รร.วัดเทพศิรินทร์ ด้วยกัน และเป็น “ชัยวัฒน์” คนนี้เองที่เป็นผู้ต่อสายหาคนใกล้ชิด “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อครั้ง “เจ้าพ่ออ่างทองคำ” ถูกอุ้มไปเมื่อปี 2546 เพื่อหาทางช่วยเหลือเพื่อน
วันที่ “ชูวิทย์” ตัดสินใจก้าวสู่สมรภูมิการเมือง “ชัยวัฒน์” ก็เป็นผู้ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการในฐานะ “มันสมอง” ทางการเมือง ทั้งการตั้งพรรคต้นตระกูลไทย-สนามผู้ว่าฯ กทม.-ดีลเข้าร่วมพรรคชาติไทย จนมาถึงการก่อตั้งพรรครักประเทศไทยสู้ศึกเลือกตั้งเมื่อปีก่อน แต่เมื่อประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งได้ ส.ส.มาถึง 4 คนหักปากเซียนหลายสำนัก ความสัมพันธ์ของ “ชูวิทย์-ชัยวัฒน์” ก็เปลี่ยนไป กลายเป็น “บุญคุณ” ที่นำพาเข้าสู่สภาฯได้ด้วยชื่อเสียงที่ตัวเองสั่งสมมานาน
ไม่แปลกที่การทำงานระหว่างกันจะเข้าขั้น “ไม่ให้เกียรติ-ไม่เห็นหัว” กัน
หลายครั้งที่ “ชัยวัฒน์” ออกเสียงทัดทานพฤติกรรมที่ชวนส่ายหัวของ “ชูวิทย์” แต่ก็เป็นเหมือนเพียงสายลมที่พัดผ่านไปไม่มีน้ำหนักอะไร เราจึงยังได้เห็น ส.ส.คนหนึ่งเอะอะโวยวายขอย้ายป้ายที่นั่งในที่ประชุมสภาฯ หรือการตั้งกรรมาธิการของสภาฯก็ไม่เคยถามความเห็นใดๆกับลูกพรรค
เรียกว่า “งัดแข้ง-แข็งข้อ” หนักๆ กันมาหลายหน
เหล่านี้เป็นเหมือน “ระเบิดเวลา” ที่รอวันปะทุ และมีการขอ “เคลียร์ใจ” กันหลายครั้ง จนล่าสุดเมื่อช่วยต้นปีที่ผ่านมา โดยมีข้อสรุปร่วมกันว่า “ชัยวัฒน์” จะลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค เป็นที่มาของหนังสือลาออกลงวันที่ 9 ม.ค.55
จากนั้นอีก 2 วันก็ได้มีการเปิดอกคุยกันอีกรอบที่ที่ทำการพรรครักประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีข้อตกลงหรือข้อสรุปว่า “ชัยวัฒน์” จะลาออกจากสมาชิกพรรค แต่กลับมีการแจ้งไปยัง กกต.ว่า “ชัยวัฒน์” เซ็นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคลงวันที่ 11 ม.ค. เรื่องนี้ตัว “ชัยวัฒน์” เองก็ยังงงว่า มีหนังสือที่ว่าได้อย่างไร เพราะหลังคุยกับหัวหน้าพรรคเสร็จก็ยังเข้าร่วมประชุมสภาฯตามปกติ
เป็นที่สงสัยว่าหนังสือที่ “ชูวิทย์” อ้างไปที่ กกต.นั้นได้มีการลงนามจริงๆ หรือไม่ หรือหากลงนามจริงได้มีการบังคับฝืนใจใดๆ เพราะ “ชัยวัฒน์” ในฐานะที่มีความรู้ด้านกฎหมาย ย่อมรู้ดีว่าหากลาออกจากพรรค ผลที่ตามมาเก้าอี้ ส.ส.ก็จะหลุดไปด้วยตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ไม่ใช่ความต้องการของเขาอย่างแน่นอน
ตรงนี้น่าสังเกตว่า หากไม่ได้ “สมัครใจ” ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคจริงตามที่ “ชูวิทย์” แจ้งไปถึง กกต. ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ปลอมแปลง” เอกสารหลักฐานขึ้นมา เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากมีความผิดจริง ก็หนีไม่พ้นที่จะถูกดำเนินคดีอาญา
ข้อเท็จจริงตรงนี้ย่อมมีแต่คนทั้งคู่เท่านั้นที่รู้ และ กกต.ก็มีหน้าที่ไขความจริงออกมาเปิดเผย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องถึงมือศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดในที่สุด
เรื่องราว “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” ยังไม่จบแค่นั้น เพราะแว่วมาว่า นอกจากการ “ลอบกัด” ลับหลังหวังแก้เผ็ด “ชัยวัฒน์” ให้หลุดจาก ส.ส.แล้ว “เฮียชู” เจ้าพ่อคลิปลับ ยังบันทึกภาพ-เสียงการพูดคุยเปิดอกกัน 2 ต่อ 2 ของทั้งคู่ไว้อีกด้วย
เรียกได้ว่าตั้งใจเก็บไว้ “แบล็กเมล์” กันเต็มที่