“ดิฉันอยากเห็นความปรองดองในสังคมไทย พรรคเพื่อไทยไม่คิดที่จะแก้แค้นแต่คิดที่จะแก้ไข เพราะอยากเห็นการเมืองที่สร้างสรรค์ และพร้อมที่จะรับการพิสูจน์ตามกระบวนการ รวมทั้งพร้อมที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมาชิกทุกท่าน จนกว่าจะไปถึงฝั่งคือการจัดตั้งรัฐบาล และจะขอใช้ความเป็นผู้หญิงสร้างความปรองดอง..
ขอบคุณสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่เห็นคุณค่าของดิฉัน ไว้วางใจดิฉัน ดิฉันพร้อมจะทำหน้าที่ แต่อยากจะเห็นทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ดิฉันไม่คิดแก้แค้น แต่จะมาแก้ไข ไม่ต้องกังวลว่าเป็นผู้หญิง ดิฉันจะใช้ความเป็นผู้หญิงนำไปสู่ความปรองดอง และจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมาชิกจนนำไปสู่การเป็นรัฐบาล..”
ผ่านมา 6 เดือนภายใต้การบริหารงานของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
จนแล้วจนรอดคนไทยก็ยังไม่เห็น “จุดแข็ง” ของความเป็นผู้หญิงที่ “ยิ่งลักษณ์” วางแบขายตั้งแต่ช่วงหาเสียงจนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่จะนำมาใช้เพื่อสร้างความปรองดอง ลดความขัดแย้งในบ้านเมือง
ไม่แตกต่างจากหลายนโยบายที่รัฐบาลเพื่อไทยตระบัดสัตย์ หักหลังประชาชนอย่างเลือดเย็น โดยเฉพาะการกระชากค่าครองชีพขึ้น จนคนไทยอยู่ในภาวชักหน้าไม่ถึงหลัง จากนโยบายชักเงินคนจนเข้ากระเป๋านายทุนของรัฐบาลไพร่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการปรับอัตราราคาพลังงานเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านธุรกิจให้ ปตท.
ส่วนประชาชนจะกระเป๋าฉีก ช่างหัวมัน!
เมื่อครั้งอยู่ในช่วงโปรโมชัน เทคนิคการหาเสียงของ “ยิ่งลักษณ์” หากินอยู่ไม่กี่เรื่อง เพราะมีสมองท่องจำสคริปต์ได้จำกัด
นอกจากการใข้ความอ่อนโยนของผู้หญิงมาเป็นจุดแข็งแล้ว เธอยังอ้างอิงถึงปูมหลังของตัวเองไว้ว่า
“...ครอบครัวเราเป็นคนต่างจังหวัดที่ทำการค้าขาย จึงเข้าใจปัญหาของประชาชน และเรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดี”
แถมยังพกเอาดีกรีจากมหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา และความสำเร็จจากการบริหารธุรกิจของตระกูลชินวัตรมาการันตี ว่าเธอมีกึ๋นมากพอที่จะนำพาประเทศชาติสู่ความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจ
แต่สิ่งที่ปรากฏหลังบทพิสูจน์ 6 เดือนกลับพบว่า “ยิ่งลักษณ์” ขาดความเข้าใจโดยสิ้นเชิงต่อระบบเศรษฐกิจไทย เข้าไม่ถึงแม้กระทั่งเศรษฐกิจชาวบ้านด้วยซ้ำ
เพราะหากเธอจะมีหัวใจห่วงใยประชาชนสักนิด เธอต้องยับยั้ง ต้องท้วงติงพี่ชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ให้ออก “ใบสั่ง” เพิ่มราคาพลังงานสร้างกำไรให้ ปตท.อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ต้องไม่ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่ง กลุ่มแท็กซี่ที่ติดสติกเกอร์ “ยิ่งลักษณ์” เบอร์ 1
ความสำเร็จในธุรกิจครอบครัวที่มีคนกรุยทางไว้หมดแล้ว ยิ่งไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าเธอมีความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจประเทศ ประกอบกับปัญหาด้านการสื่อสารยิ่งทำให้เธอดูอ่อนด้อยอย่างยิ่งในฐานะผู้นำประเทศ
แต่ความอ่อนด้อยในการสื่อสารยังไม่เลวร้ายเท่ากับการที่เธอไม่มีอะไรในตัวเองที่จะสื่อสารต่อประชาชน
ปัญหายากๆ ไม่เคยมีคำตอบจากปากผู้นำหญิงคนนี้
เรื่องเศรษฐกิจที่เคยคุยนักคุยหนาว่าชำนิชำนาญจากประสบการณ์ภาคธุรกิจ ก็เป็นเรื่องที่ “ดีแต่โม้” จนนำมาสู่ “อ่านไม่ดีไม่มีคนฟัง” ถูกนักธุรกิจรวมหัวบอยคอตไม่เข้าฟังปาถกฐาของ “นายกฯ นกแก้ว” เพราะนักธุรกิจเขารู้ดีว่า เธอเจื้อยแจ้วจากโพย มิได้มีวิสัยทัศน์เหมือนแฟชั่นที่ประโคมใส่บนเนื้อตัว
บนเวทีดาวอส...ที่เธอพยายามเฉิดฉายแสดงภาวะผู้นำหญิงกลับกลายเป็นการฆ่าตัวเองกลางเวทีโลก เพราะพยายามจะโชว์ในสิ่งที่ไม่มีความสามารถทั้งภาษาอังกฤษ และความรู้จริงในสิ่งที่พูด จนนำไปสู่การตอบไม่ตรงคำถาม
สุนทรพจน์ที่ถูกตั้งคำถามมากจากการอภิปรายในหัวข้อ “Women as the Way Forward” คือ กรณีที่เธอไประบุว่า “เมื่อเทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงโดยเฉลี่ยยังคงได้รับการศึกษาต่ำกว่า เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากกว่า มีรายได้น้อยกว่า ถูกกีดกันไม่ให้ถือครองที่ดินหรือทรัพย์สิน”
คำถามถึงผู้หญิงไทยมีใครถูกกีดกันไม่ให้ถือครองที่ดินหรือทรัพย์สินบ้างไหม นอกจากว่าไม่มีเงินที่จะซื้อมาเป็นสมบัติส่วนตัว
ข้อเท็จจริงยังผิด แล้วจะกำหนดนโยบายที่ถูกต้องเกี่ยวกับสตรีได้อย่างไร?
ในเวทีนี้ผู้นำหญิงของไทยแสดงความภาคภูมิใจต่อนโยบายแจกเงินให้ผู้หญิงผ่านกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ที่ครม.เตรียมทุ่มเงิน 7,700 ล้านบาทไปยัง 77 จังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดละ 100 ล้านบาท ให้ “ยิ่งลักษณ์” ไปกดปุ่มแจกเงินในวันที่ 8 มีนาคมนี้ ในโอกาสวันสตรีสากล
วิธีคิดที่ใช้เงินเป็นตัวตั้งถูกตั้งคำถามมากว่า จะเป็นการทำลายหรือการพัฒนาสตรีกันแน่ เพราะการแจกเงินโดยไม่มีรายละเอียดว่าจะนำไปใช้อะไรที่จะเพิ่มพูนสติปัญญา และศักยภาพของสตรีไทยให้เกิดประโยน์ต่อประเทศชาตินั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการโปรยเงินแจกเพื่อซื้อเสียงกับผู้หญิงนั่นเอง
เพียงแต่ว่าไม่ใช่เงินส่วนตัวของ ยิ่งลักษณ์หรือทักษิณ แต่เป็นเงินของคนไทยทั้งชาติที่ควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ปัญหาบ้านเมือง โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่รัฐบาลอ้างว่าต้องใช้เงินเพื่อฟื้นฟูประเทศ
7,700 ล้านบาท สามารถเยียวประชาชนที่ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ 5 พันบาทได้ถึง 1,540,000 ครัวเรือน
ทำไมรัฐบาลไม่นำเงินไปใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นก่อนที่จะคิดกู้ไปผลาญสร้างหนี้ให้ประเทศ
เป็นเรื่องน่าเศร้าของสังคมไทยอย่างแท้จริงที่มีผู้นำที่ไร้ความรับผิดชอบต่อประชาชน จึงไร้หวังที่จะเกิดสำนึกจนหยุดพฤติกรรมใช้ภาษีประชาชนไปซื้อเสียงประชาชนเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ในเมื่อยับยัั้งไม่ได้ อย่างน้อยก็อยากสะกิดเตือนจากการให้สติของดร.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทยที่ฝากถึงนายกหญิงคนแรกของไทยว่า
“กองทุนพัฒนาทบาทสตรีจะต้องไม่ซ้ำรอยกองทุนหมู่บ้าน ที่ไม่ได้ทำให้หมู่บ้านพัฒนาขึ้น ตรงกันข้ามประชาชนในหมู้บ้านกลับเป็นหนี้เพิ่มขึ้นและยังสร้างความแตกแยกในชุมชนด้วย”
ว่าแต่จะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า เพราะเธอหวังอะไรไม่ได้จริงๆ!