วงเสวนา พตส. “วัฒนา” ชี้การเมืองไทยยังแบ่ง 2 ขั้ว เชื่อ 4 เดือนนี้อันตรายเหตุครบ 2 ปี เหตุสลายการชุมนุมแดง ครอบครัวเหยื่อรอทวงความเป็นธรรม ส่งผลอาจเกิดการเผชิญหน้า ด้าน “นิกร” มองพรรคการเมืองไทยอ่อนแอ หลังถูกกดดันโดยนโยบายประชานิยม ระบุกม.มีปัญหาทำลายระบบพรรคการเมืองโดยไม่รู้ตัว
วันนี้ (20 ม.ค.) ในการอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 3 มีสัมมนาในหัวข้อ “พรรคการเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต” โดยนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า การยุบพรรคของไทยง่ายมาก ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแต่พรรคการเมืองกลับถูกยุบได้ง่ายๆ ซึ่งถือว่าพิสดารประเทศหนึ่งในโลก แนวโน้มการเมืองในอนาคตคือการเมืองสองขั้วเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว ดังนั้นกติกาของประเทศวันนี้จึงควรมีการแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นปัญหาความขัดแย้งนำสู่การสูญเสียจะวนกลับมาเรื่อยๆ
นายวัฒนากล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองไทยวันนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องมีความคิดเห็นร่วมกัน การเมืองไทยในช่วง ม.ค.-เม.ย.นี้จะเป็นช่วงอันตรายที่สุด เพราะตั้งแต่ ม.ค.เป็นต้นไปจะมีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพสาเหตุการตายจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองช่วงเมษายน-พฤษภาคม 53 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 นั้นให้ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตสามารถตั้งทนายค้นหาสาเหตุการตายได้ ซึ่งในทางการค้นหาความจริงเพื่อปรองดองนั้น ไม่ให้ผู้มีส่วนได้เสียค้นหาความจริงแต่สามารถให้ญาติคนตายค้นหาความจริงได้ แต่เขาก็ต้องหาในสิ่งที่เขาอยากจะรู้และไม่ควรเปิดเผย แต่หลักของการปรองดองจะเปิดเผยเฉพาะในส่วนที่ไม่สร้างความขัดแย้ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ถูกลากมาไต่สวนก็จะอึดอัด เพราะ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548จะคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ทำตามหน้าที่เท่านั้น แต่ถ้าเกินเลยหน้าที่ก็ผิดกฎหมายอาญา ซึ่งอาจทำให้เกิดการเผชิญหน้าได้
ส่วนในเดือน เม.ย.จะครบ 2 ปีของเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ก็จะมีพี่น้องมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดี บ้านเมืองน่าเป็นห่วงและน่ากังวลอย่างมาก ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การปรองดองจะให้การเมืองอยู่ในระบบ แต่คำว่าปรองดองของไทยพิเศษกว่าประเทศอื่น เพราะประเทศอื่นฆ่าจบแล้วจึงปรองดอง แต่ของไทยความขัดแย้งดำรงอยู่รอวันปะทุ คู่กรณีขัดแย้งยังไม่ล้มหายตายจาก และคนไทยไม่เข้าใจปรองดองคืออะไร และเครื่องมือปรองดองคืออะไร ซึ่งตนอยากเห็นการเมืองไทยพัฒนาเป็นสถาบัน และใช้วิธีปกป้องอุ้มชูสถาบันเป็นตัวตั้ง ทั้งนี้ต้องส่งเสริมให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันแท้จริงด้วย นอกจากนี้ แนวโน้มการเมืองไทยในอนาคตจะมี 2 ขั้ว ซึ่งไม่เป็นอันตราย เพราะไม่ใช่พรรคการเมืองฮั้วซึ่งตรงนั้นจะอันตรายต่อประชาชน แต่การเห็นต่างทำให้ประชาชนมีทางเลือก และอย่าเข้าใจความนิยมต่อคนใดคนหนึ่งจะเป็นสรณะไม่มีทาง
ด้าน นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แนวโน้มพรรคการเมืองของไทยมีความเป็นสถาบันระดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีการจัดองค์กรที่หลากหลายมาก มีกลไก กลุ่ม แนวร่วมมากมาย แต่สิ่งที่ต้องชวนคิดคือรูปแบบการจัดองค์กรของพรรค ในท้ายที่สุดพรรคการเมืองจะต้องอยู่ภายใต้การบริหารของนักบริหารมืออาชีพเท่านั้นแม้จะมีแนวร่วม นปช. แนวร่วมแรงงานก็ตาม เรื่องการยุบพรรค ตนไม่เห็นด้วย อยากให้เลิกยุบพรรค ล้วใช้โทษปรับพรรคการเมืองแทน เหมือนกับโทษปรับที่มีอารยะ ไม่ใช่ผ่าไฟแดงติดคุก แต่การควบคุมพรรคการเมืองยังมีความจำเป็น เพราะพรรคการเมืองต้องใช้เงินทางการเมือง เพราะเงินเป็นจุดเป็นจุดตาย
นายนิกร จำนง อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า ปัจจุบันพรรคการเมืองไทยเกิดความอ่อนแอ เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกกดดันจากนโยบายประชานิยมตามที่เคยสัญญาไว้ อีกทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันทุนที่ใช้ดำเนินการในพรรคการเมืองก็มีน้อยไม่เพียงพอ แม้จะมีการงานระดมทุนหาเงินเข้าพรรคการเมืองแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอในการดำเนินกิจการพรรคการเมือง ถ้าไม่มีเงินพรรคการเมืองก็บริหารงานไม่ได้ รวมทั้งการต่อสู้ของพรรคการเมืองในปัจจุบันเกิดการแก่งแย่งเอาเป็นเอาตายเปรียบเสมือนเป็นศัตรูกัน เพียงเพราะอยู่ภายใต้เงื่อนไขนโยบายประชานิยม สัญญาว่าจะให้ และจะต้องทำให้ได้นั่นเอง ส่วนประเด็นในเรื่องของข้อกฏหมายก็มีปัญหาอยู่มาก เนื่องจากมีส่วนทำลายระบบพรรคการเมืองไทยโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 และ 266 ที่ไม่เปิดช่องและห้าม ส.ส.ไทย ดำเนินการหรือปฏิบัติสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ มาตรา 237 ที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ด้วยเหตุนี้ทำให้ ส.ส.ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่ สุดท้ายการต่อสู้ทางการเมืองก็จะไม่รู้ว่าใครจะเป็นเหยื่อ เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่นั้นมีแต่ความขัดแย้ง
วันนี้ (20 ม.ค.) ในการอบรมหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 3 มีสัมมนาในหัวข้อ “พรรคการเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต” โดยนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า การยุบพรรคของไทยง่ายมาก ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแต่พรรคการเมืองกลับถูกยุบได้ง่ายๆ ซึ่งถือว่าพิสดารประเทศหนึ่งในโลก แนวโน้มการเมืองในอนาคตคือการเมืองสองขั้วเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว ดังนั้นกติกาของประเทศวันนี้จึงควรมีการแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นปัญหาความขัดแย้งนำสู่การสูญเสียจะวนกลับมาเรื่อยๆ
นายวัฒนากล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองไทยวันนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องมีความคิดเห็นร่วมกัน การเมืองไทยในช่วง ม.ค.-เม.ย.นี้จะเป็นช่วงอันตรายที่สุด เพราะตั้งแต่ ม.ค.เป็นต้นไปจะมีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพสาเหตุการตายจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองช่วงเมษายน-พฤษภาคม 53 ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 นั้นให้ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตสามารถตั้งทนายค้นหาสาเหตุการตายได้ ซึ่งในทางการค้นหาความจริงเพื่อปรองดองนั้น ไม่ให้ผู้มีส่วนได้เสียค้นหาความจริงแต่สามารถให้ญาติคนตายค้นหาความจริงได้ แต่เขาก็ต้องหาในสิ่งที่เขาอยากจะรู้และไม่ควรเปิดเผย แต่หลักของการปรองดองจะเปิดเผยเฉพาะในส่วนที่ไม่สร้างความขัดแย้ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ถูกลากมาไต่สวนก็จะอึดอัด เพราะ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548จะคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ทำตามหน้าที่เท่านั้น แต่ถ้าเกินเลยหน้าที่ก็ผิดกฎหมายอาญา ซึ่งอาจทำให้เกิดการเผชิญหน้าได้
ส่วนในเดือน เม.ย.จะครบ 2 ปีของเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 ก็จะมีพี่น้องมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดี บ้านเมืองน่าเป็นห่วงและน่ากังวลอย่างมาก ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การปรองดองจะให้การเมืองอยู่ในระบบ แต่คำว่าปรองดองของไทยพิเศษกว่าประเทศอื่น เพราะประเทศอื่นฆ่าจบแล้วจึงปรองดอง แต่ของไทยความขัดแย้งดำรงอยู่รอวันปะทุ คู่กรณีขัดแย้งยังไม่ล้มหายตายจาก และคนไทยไม่เข้าใจปรองดองคืออะไร และเครื่องมือปรองดองคืออะไร ซึ่งตนอยากเห็นการเมืองไทยพัฒนาเป็นสถาบัน และใช้วิธีปกป้องอุ้มชูสถาบันเป็นตัวตั้ง ทั้งนี้ต้องส่งเสริมให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันแท้จริงด้วย นอกจากนี้ แนวโน้มการเมืองไทยในอนาคตจะมี 2 ขั้ว ซึ่งไม่เป็นอันตราย เพราะไม่ใช่พรรคการเมืองฮั้วซึ่งตรงนั้นจะอันตรายต่อประชาชน แต่การเห็นต่างทำให้ประชาชนมีทางเลือก และอย่าเข้าใจความนิยมต่อคนใดคนหนึ่งจะเป็นสรณะไม่มีทาง
ด้าน นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แนวโน้มพรรคการเมืองของไทยมีความเป็นสถาบันระดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีการจัดองค์กรที่หลากหลายมาก มีกลไก กลุ่ม แนวร่วมมากมาย แต่สิ่งที่ต้องชวนคิดคือรูปแบบการจัดองค์กรของพรรค ในท้ายที่สุดพรรคการเมืองจะต้องอยู่ภายใต้การบริหารของนักบริหารมืออาชีพเท่านั้นแม้จะมีแนวร่วม นปช. แนวร่วมแรงงานก็ตาม เรื่องการยุบพรรค ตนไม่เห็นด้วย อยากให้เลิกยุบพรรค ล้วใช้โทษปรับพรรคการเมืองแทน เหมือนกับโทษปรับที่มีอารยะ ไม่ใช่ผ่าไฟแดงติดคุก แต่การควบคุมพรรคการเมืองยังมีความจำเป็น เพราะพรรคการเมืองต้องใช้เงินทางการเมือง เพราะเงินเป็นจุดเป็นจุดตาย
นายนิกร จำนง อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า ปัจจุบันพรรคการเมืองไทยเกิดความอ่อนแอ เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกกดดันจากนโยบายประชานิยมตามที่เคยสัญญาไว้ อีกทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันทุนที่ใช้ดำเนินการในพรรคการเมืองก็มีน้อยไม่เพียงพอ แม้จะมีการงานระดมทุนหาเงินเข้าพรรคการเมืองแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอในการดำเนินกิจการพรรคการเมือง ถ้าไม่มีเงินพรรคการเมืองก็บริหารงานไม่ได้ รวมทั้งการต่อสู้ของพรรคการเมืองในปัจจุบันเกิดการแก่งแย่งเอาเป็นเอาตายเปรียบเสมือนเป็นศัตรูกัน เพียงเพราะอยู่ภายใต้เงื่อนไขนโยบายประชานิยม สัญญาว่าจะให้ และจะต้องทำให้ได้นั่นเอง ส่วนประเด็นในเรื่องของข้อกฏหมายก็มีปัญหาอยู่มาก เนื่องจากมีส่วนทำลายระบบพรรคการเมืองไทยโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 และ 266 ที่ไม่เปิดช่องและห้าม ส.ส.ไทย ดำเนินการหรือปฏิบัติสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ มาตรา 237 ที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ด้วยเหตุนี้ทำให้ ส.ส.ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้เต็มที่ สุดท้ายการต่อสู้ทางการเมืองก็จะไม่รู้ว่าใครจะเป็นเหยื่อ เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่นั้นมีแต่ความขัดแย้ง