ผ่าประเด็นร้อน
การปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เที่ยวนี้แสดงให้เห็นถึงความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการชี้นิ้วสั่งการจาก ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “เจ้าของ” ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายในวันข้างหน้าว่าต้องการให้เป็นอย่างไร
ต้องยอมรับว่าการปรับคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นมีการกำหนดชี้ตัวบุคคลกันมาล่วงหน้า และทำอย่างรวบรัดชนิดที่เรียกว่าคนที่โดนปรับออกแทบจะไม่ทันตั้งตัว แม้ว่าหลายคนจะรู้ว่าต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นแน่ แต่ก็ไม่นึกว่าจะทำกันแบบเงียบเชียบตั้งตัวไม่ทัน ระยะเวลาเพียงแค่ 4-5 วันที่เริ่มระแคะระคายออกมาทำให้เคลื่อนไหววิ่งเต้นของบางคนเพื่อดิ้นรนให้ให้นั่งเก้าอี้ต่อไปก็ต้องจบเห่
ตามข่าวระบุว่ามีการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯไปตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม นั่นหมายความว่ามีการกำหนดวางตัวบุคคลเอาไว้ล่วงหน้านานเป็นเดือน เพราะต้องมีการทาบทามแจ้งให้ทราบและตรวจสอบคุณสมบัติต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาสามารถทำได้เงียบเชียบ ไม่มีความวุ่นวาย หรือมีการวิ่งเต้นกันโดยตรง มารู้อีกทีก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ บางคนต้องตกเก้าอี้ไปอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ดีเพื่อให้เห็นเป้าหมายและสะท้อนตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรีที่กำลังเกิดขึ้นครั้งนี้ก็ต้องจับตาไปที่กระทรวงสำคัญตามยุทธศาสตร์ใหม่ คือกระทรวงพลังงาน คลัง คมนาคม กลาโหมและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ควบคุมสื่อของรัฐ ถือว่าหน่วยงานดังกล่าวมีผลทางเศรษฐกิจ เป็นการกระชับอำนาจการสั่งการให้เข้ามาอยู่ในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่มีการเปลี่ยนตัว โดยยังไฟเขียวต่ออายุให้ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นั่งคาอยู่ต่อไป เนื่องจากทำผลงานได้เข้าตา โดยไม่ต้องไปสนใจความรู้สึกของชาวบ้านว่าจะคิดอย่างไร
ถ้าไล่เรียงกันตามลำดับก็ต้องบอกว่าในยุคปัจจุบันต่อเนื่องไปถึงอนาคตก็ต้องบอกว่ากระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานเกรดเอ โดยเฉพาะต่อธุรกิจพลังงานทั้งที่กำลังเกิดขึ้นในนามของ ปตท.รวมไปถึงการลงทุนในแหล่งพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง กัมพูชา พม่า หรือแม้แต่แหล่งพลังงานใหม่ๆในอ่าวไทยภายในประเทศ เป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นก็ต้องดึงเอาคนที่ไว้ใจได้จริงๆ
แม้ว่าที่ผ่านมา พิชัย นริพทะพันธุ์ ได้สนองนโยบายทำตามคำสั่งได้ไม่เคยขัด แต่หลังจากที่ทำงานสำคัญนั่นคือการปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ โดยการปรับขึ้นราคาขายปลีกทั้งน้ำมันและก๊าซกันขนานใหญ่ ย่อมสร้างความไม่พอใจกับสังคมและคนกันเองที่สนับสนุน อีกทั้งเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ใหม่ก็ต้องเปลี่ยนหน้าเข้ามาใหม่ ซึ่งตามข่าวระบุตรงกันว่ามีการดึงเอาผู้บริหารจากบริษัทไทยคมฯอย่าง อารักษ์ ชลธาร์นนท์ เข้ามานั่งเก้าอี้แทนมันก็เห็นภาพได้ชัดเจนว่าเป้าหมายเป็นอย่างไร เพราะจะส่งผลต่อธุรกิจพลังงานในอนาคต โดยจะควบคู่ไปกับบริษัทปตท.เป็นหลัก รวมไปถึงการร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติ ก็เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
สำหรับกระทรวงการคลัง หากถือว่าเป็น “แหล่งทุน”ก็ไม่น่าจะผิดนัก และที่ผ่านมาก็มีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องการล้วงเอาเงินทุนสำรองออกมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในรูปแบบตั้งเป็น “กองทุน” เพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ รวมไปถึงการ “ค้ำประกัน” หลายอย่างล้วนแล้วต้องอาศัยกระทรวงการคลังเป็นหลัก แต่ที่ผ่านมาการได้ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการยังไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ “ถึงขนาด” ไม่ใช่ว่าขัดคำสั่ง แต่ความหมายก็คือ “ใจไม่ด้านพอ” ต่างหาก บางครั้งยังมีความ “ละอาย” หรือมีเรื่องวินัยทางการเงินการคลังมาค้ำคออยู่บ้างทำให้บางอย่างยังขับเคลื่อนไม่ได้
ดังนั้นอาจเป็นเพราะเหตุผลดังกล่าวหรือเปล่าที่ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวให้คนอย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้ามาแทนโดยเป็นรองนายกฯควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถือ “กระเป๋าเงิน” อย่างเต็มตัว
ส่วนกระทรวงกลาโหมก็โยก คนที่เป็นทั้งเพื่อนและลูกน้องในคราวเดียวกันอย่าง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จากกระทรวงคมนาคมมาคุมเหล่าทัพ เป้าหมายก็เพื่อผลักดันการแก้ไข พระราชบัญญัติกลาโหม เพื่อให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาล้วงลูกโยกย้ายในกองทัพได้สะดวก และอีกหน่วยงานก็คือสื่อมวลชนของรัฐ ซึ่งมีผลต่อยุทธศาสตร์การ “สร้างกระแสชวนเชื่อ” ให้สอดคล้องกัน
ขณะที่กระทรวงอื่นๆ หรือหน่วยงานอื่นที่เหลือ แม้ว่าสำคัญลดหลั่นลงมา แต่ส่วนใหญ่เป็นการกระจายตอบแทน หรือตกรางวัลเพื่อซื้อใจคนรอบข้าง หวังผลต่อภารกิจสำคัญในภายหน้า ซึ่งก็ต้องพิจารณากันถึงประโยชน์และความไว้เนื้อเชื่อใจได้เหมือนกัน
ถ้าให้พิจารณากันแบบ “รู้ใจ”ก็ต้องบอกว่าการปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนี้ ทักษิณ ได้เน้นย้ำในเรื่องยุทธศาสตร์ธุรกิจพลังงาน ทุนผ่านกระทรวงการคลัง และความมั่นคงในกระทรวงกลาโหม ต่างประเทศ และใช้สื่อของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อ จึงต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ ที่สำคัญต้องใจกล้าไม่อิดออด รวมไปถึงกระจายตอบแทนตกรางวัลซื้อใจมวลชนกันพร้อมพรัก ดังนั้นถ้ามอง “แบบผลประโยชน์ส่วนตัว” มาก่อนก็ต้องบอกว่าเป็นคณะรัฐมนตรีที่สมบูรณ์แบบ และ “เหี้ยมเกรียม” เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันได้เห็นสัญญาณบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า
แต่ถ้าให้พิจารณาในเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวมและบ้านเมืองเชื่อว่ายังห่างไกล !!