ปีใหม่ พ.ศ. 2555 ผ่านไปเพียงแค่ 2 สัปดาห์ มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินสูงขึ้นถึง 5 ครั้ง รวมแล้ว น้ำมันเบนซืนแพงขึ้นถึงลิตรละ 3.57 บาทต่อลิตร และมีการปรับราคาน้ำมันดีเซล 2 ครั้ง ทำให้น้ำมันดีเซลมีราคาเพื่มขึ้นลิตรละ 1.74 บาท ทำให้ราคาน้ำมันดีเซล ทะลุลิตรละ 30 บาท ไปอยุ่ที่ ลิตรละ 31.13 บาท
นอกจากนั้น ราคาแก๊สเอ็นจีวี ยังถูกปรับขึ้นอีกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ จากกิโลกรัมละ 8.50 บาท เป็นกิโลกรัมละ 9 บาท และจะทยอยขึ้นอีกเดือนละ 50 สตางค์ ในอีก 3 เดือนต่อไป รวมเป็นการขึ้นราคา 2 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม ส่วนแอลพีจี ในภาคขนส่งปรับขึ้นกิโลกรัมละ 75 สตางค์
การปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิง แบบยกแผงครั้งนี้ มีสาเหตุหลายอย่าง คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้น ตามฤดูกาล และสถานการณ์ในอ่าวเปอร์ซียที่ตึงเครียดขึ้น หลังจากการซ้อมรบทางทะเลของอิร่าน การปรับราคาเอ็นจีวี และแอลพีจี ตามความต้องการ ของ ปตท. และ การปรับราคาเพราะรัฐบาลพรรคเพือ่ไทย ยกเลิกนโยบายลดค่าครองชีพประชาชนแบบทันทีทันใด โดยประชาชนไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
ส่าเหตุสุดท้ายนี้ ทำให้การปรับราคาน้ำมันครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ปรับขึ้นสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คือ น้ำมันเบนซินลิตรละ 1 .07 บาท และน้ำมันดีเซลลิตรละ 60 สตางค์ เพราะรัฐบาลแอบฉีกนโยบายเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทิ้ง แล้วหันมาเก็บเงินเข้ากองทุนฯตามเดิม ไม่ได้เกี่ยวกับ ราคาน้ำมันในตลาดโลกแต่อย่างใด
นอกจาก เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จากผู้ใช้น้ำมันเบนซินและ น้ำมันดีเซลแล้ว รัฐบาลยังแอบเก็บเงินเพิ่มจากผู้ใช้แก๊สโซฮอลล์ 95 เพิ่มขึ้นอีก 1 บาทต่อลิตร จาก 0.20 บาท เป็น 1.20 บาทต่อลิตร และ ลดเงินอุดหนุน แก๊สโซฮอล์ 91 ลง ลิตรละ 1 บาท จาก ลิตรละ 1.40 บาท เหลือลิตรละ .40 สตางค์ เดิมได้รับการอุดหนุน 1.40 บาท ก็จะได้รับการอุดหนุนลดลงเหลือ 0.40 บาทต่อลิตร อี 20 เดิมได้รับการอุดหนุน 2.80 บาท อัตราใหม่ลดลงเหลือ 1.80 บาทต่อลิตร
ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ อี 85 ซึ่งมีผู้ใช้น้อยมาก ได้รับการอุดหนุนเพิ่มขึ้นลิตรละ 10 สต่างค์ จาก 13.50 บาท เป็น 13.60 บาทต่อลิตร
การงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เป็น 1 ใน 6 นโยบายเร่งด่วนของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ใช้ในการหาเสียงและประกาศว่า จะทำทันที หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน
วันที่ 27 สิงหาคม ปีที่แล้ว รัฐบาล โดย คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติให้ชะลอการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นชั่วคราว สำหรับน้ำมัน 3 ประเภท คือ น้ำมันเบนซิน 95 ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลิตรละ 7.50 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ลดลงแล้วทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงถึงลิตรละ 8.20 บาท
น้ำมันเบนซิน 91 ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลิตรละ 6.70 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ราคาน้ำมันลดลงถึงลิตรละ 7.17 บาท และดีเซลลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลิตรละ 2.80 บาทรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาน้ำมันลดลงได้ลิตรละ 3 บาท
การงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันนี้ ทำให้รายรับของกองทุน หายไปเดือนละ 3,000 ล้านบาท เมื่อหักลบกลกันกับรายได้อื่นๆ และภาระค่าใช้จ่ายแล้ว กองทุนฯจะมีฐานะการเงินติดลบ เดือนละ 3,000 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินหมุนเวียนอยู่ 15,000 ล้านบาท หากยังงดเก็บเงินเข้ากองทุนฯต่อไป เงินจะหมดในเดือนมกราคมนี้ และจะต้องกู้เงินมาใช้
รัฐบาลจึงแหกตาประชาชนได้เพียง 4 เดือนครึ่งเท่านั้น ว่า จะช่วยลดค่าครองชีพ เพราะต้องหันกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ที่ถูกนโยบายประชานิยมผลาญจนหมดตัว ตามเดิม แต่ทำเงียบๆ ไม่มีการป่าวประกาศใหญ๋โต เหมือนตอนงดเก็บ การจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันครั้งนี้ จะทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมัน ที่ติดลบวันละ 97.85 ล้านบาท เหลือติดลบวันละ 44.23 ล้านบาท ซึ่งแปลว่า จะต้องมีการขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล อีก อย่างน้อยเดือนละ 1 บาท โดยไม่เกี่ยวกับราคาน้ำมันในตลาดโลก จนกว่า กองทุนน้ำมันจะไม่ติดลบ และหากช่วงไหนราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ราคาน้ำมันทึ่คนไทยต้องจ่ายจะไม่ลดลง เพราะต้องเก็บเงินเข้ากองทุนฯเพิ่มขึ้น
นี่คือ ความเป็นจริง ที่รัฐบาลไม่กล้ายอกให้ประชาชนรับรู้ นี่คือ การซ้ำเติม ให้ประชาชนต้องยากลำบาก ประสบกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยที่รัฐบาลซึ่งโกหกว่า จะกระชากค่าครองชีพของประชาชนให้ลดลงมา ไม่ใส่ใจ เพราะมั่นใจว่า จะอยู่ในอำนาจครบเทอมแน่ จึงแอบฉีกสัญญาประชาคมทิ้ง แล้วโกหกว่า เป็นการปรับโครงสร้างพลังงาน