“พิภพ” ชี้ให้เงินเยียวยาเหยื่อชุมนุมทางการเมืองไม่ได้ช่วยให้ปรองดอง แต่ต้องไต่สวนความจริงให้กระจ่าง และคนผิดออกมาขอโทษ หนุนสอบแกนนำทั้งเหลือง-แดงจะได้รู้ว่ากระตุ้นมวลชนให้ก่อเหตุรุนแรงหรือไม่ ด้านญาติวีรชนพฤษภา 35 มั่นใจ “คำขอโทษ” จากผู้กระทำผิด จะนำไปสู่การปรองดองได้แน่นอน อีกทั้งเป็นการเยียวยาจิตใจที่ดีที่สุด
วันที่ 11 ม.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้ร่วมรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
โดยนายพิภพกล่าวถึงกรณีชดเชยเงินให้เหยื่อจากการชุมนุมว่า ความปรองดองเกิดไม่ได้ด้วยการใช้เงินแบบนี้ จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อไต่สวนความจริงให้กระจ่าง คนทำผิดยอมรับผิด และขอโทษต่อประชาชน ซึ่งญาติวีรชนพฤษภาปี 35 เคยทำสำเร็จ ทำให้อดีตผู้บัญชาการทหารบกออกมาขอโทษ แต่สังคมไทยก็คิดว่ามันยังไม่พอ อย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ออกมาขอโทษผู้ก่อความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ไม่สำเร็จ นั่นก็เพราะคนผิดยังไม่ปรากฎตัว
ส่วนที่มีการพูดกันว่าควรให้แกนนำทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดงร่วมรับผิดชอบด้วย ตนเห็นด้วยว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบ ต้องพิสูจน์ว่าฐานะการเป็นแกนนำ ได้กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ อันนี้น่าสนใจถ้าพิสูจน์จริง จะได้สามารถบอกได้ว่าการนำของแกนนำเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงหรือไม่
นายพิภพกล่าวต่อว่า การชดเชยให้ผู้เสียหายนั้น ต้องรวมทุกเหตุการณ์ และไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น อย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชัดเจนกรณีตากใบ คนตาย 70 กว่าคน ฆ่าตัดตอนยาเสพติด 2 พันกว่าศพ หรือการต่อสู้กับทุนต่างๆตามต่างจังหวัดก็เช่นกัน ความเป็นธรรมไม่ใช่ต่อสู้กับอำนาจรัฐเท่านั้นแต่คืออำนาจทุนด้วย หรือเรื่องทนายสมชาย นีละไพจิตร ก็เงียบไป
ด้าน นายอดุลย์กล่าวว่า เห็นด้วยว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ไม่ว่าพันธมิตรฯ หรือเสื้อแดง ก็ต้องออกมารับผิดชอบ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬมีการต่อสู้ 2 ฝ่ายชัดเจน คือเผด็จการทหารกับประชาชน แต่เหตุการณ์หน้าทำเนียบและราชประสงค์-ราชดำเนิน กลายเป็นมี 4 ฝ่าย มีเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และคนที่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นตรงนี้เองเงินไม่สามารถทำเรื่องปรองดองได้ จากประสบการณ์ตน ต้องใช้เวลาอีกนานหากไม่นำความจริงมาตีแผ่ให้สังคมรับทราบ เชื่อว่าสังคมไม่ยอมปล่อยให้เกี้ยเซี้ยกัน โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่
บอกตรงๆ ว่าการเยียวยาไม่ใช่ใช้เงินอย่างเดียว แต่ต้องเยียวยาใจด้วย และสิ่งที่เยียวยาใจได้ดีที่สุดคือการขอโทษ ซึ่งเข้าใจไม่ยากเลย ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม ทหารถอดเครื่องแบบก็เป็นพี่น้องประชาชนด้วยกันทั้งนั้น ทางที่ดีต้องขอโทษ รัฐะต้องทำให้เป็นตัวอย่าง เมื่อรัฐมีการแสดงความเสียใจ มันจะตามมาอีกหลายองค์กรหลายฝ่าย
นายอดุลย์กล่าวอีกว่า มั่นใจการปรองดองเกิดขึ้นได้แน่ภายใต้เงื่อนไขทำความจริงให้กระจ่าง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องขอโทษ ผู้ที่ได้รับการกระทำนั้นทั้งทางตรงทางอ้อม คงมีความรู้สึกดีขึ้น และให้อภัย ถึงเวลานั้นหากสังคมมีความเข้าใจที่ตรงกัน ทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมาไม่ให้เกิดความรุนแรงอย่างนี้อีก ความปรองดองก็จะเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นแล้วจะนิรโทษกรรมอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
นายอดุลย์ยังกล่าวต่อว่า เงื่อนไขต่างๆที่เกิดขึ้นขณะนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากญาติร่วมกับคณะกรรมการอิสระชุดนายอานันท์ ดร.คณิต ณ นคร และหมอประเวศ ซึ่งข้อเรียกร้องถูกปฏิบัติให้เป็นจริง ตนรู้สึกดีใจเพราะอย่างน้อยเป็นบรรทัดฐานชัดเจนขึ้น เพราะมีการลงโทษรัฐ ในเชิงค่าปรับเพื่อไม่ให้ใช้ความรุนแรงอีก แต่สำหรับเหตุการณ์พฤษภา ยังไม่จบง่ายๆ ติดขัดตรงที่รัฐบาลในปี 26 ไม่ทราบว่าใครทำอะไรไว้ ในที่สุดไม่ได้เอาสิ่งนี้มาใช้ในข้อตกลง แม้ผู้นำรัฐบาล นายบรรหาร สั่งชัดเจนว่าให้เป็นไปตามนี้ แต่มีบางคนหักดิบ แล้วก็ออกมาใช้พรบ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัย 2543 ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้อง เพราะรัฐะทำให้ตาย ตรงนี้เองเป็นการดูถูกเหยียดหยามความเป็นวีรชนอย่างรุนแรง ถ้ารัฐบาลทุกรัฐบาลที่เข้ามาทำหน้าที่ไม่ขอโทษเรื่องนี้ ญาติวีรชนไม่ยอม เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ ความเป็นวีรชนที่สังคมรอคอยอยู่ต่างหากเป็นเรื่องใหญ่
ส่วนสิ่งที่ทางญาติวีรชนพฤษภา 35 จะทำในปีนี้ ยังไม่ใช่เวลาเรียกร้องเงินเยียวยา แต่คือการสร้างอนุสรณ์สถานซึ่งสังคมรอคอยมา ปีนี้เป็นที่ 20 แล้ว