“สนธิ” ย้ำจุดยืนต่อต้านระบอบชั่ว เมินปรองดอง ชี้ไม่จำเป็น สมเพชคนเชื่อรับเงินทักษิณพร้อมไล่ไปไกลๆ ให้ค่าจุดยืนมากกว่าจำนวนมวลชนลด ขณะที่ “ปานเทพ” ชี้ “สนธิ” ห่างหน้าจอเพราะเบื่อพูดซ้ำซาก ถ้าออกทีวีเมื่อไร ส่งสัญญาณได้ทันทีต้องเป็นเรื่องใหญ่
วันที่ 8 ม.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อสายกล่าวผ่านรายการก่อนจะถึงจันทร์ ออกอากาศทางสถานีเอเอสทีวี ถึงจุดยืนตัวเองว่า วัตถุประสงค์การชุมนุมของพันธมิตรฯ เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าใครก็ตามที่มีพฤติกรรมเหมือนกัน เราจะสู้ทั้งหมด แม้ชุมนุมช่วงแรกจะมีบรรดา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมด้วย แต่พอได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วจะให้เราหลับหูหลับตาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีคนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่จับมือกับนายเนวิน ชิดชอบ จะให้ลืมจุดยืนตัวเอง ตนทำไม่ได้
อย่างไรก็ดี หากถามว่าจะปรองดองหรือไม่ ช่วยตอบหน่อยปรองดองเพื่ออะไร ตนยังมองไม่ออกเลย ถูกให้ว่าไปตามถูก ผิดก็คือผิด ไม่มีความจำเป็นต้องปรองดองเลย การปรองดองวันนี้เป็นไปเพื่อพยายามให้นักการเมืองเข้ามาเป็นอมตะโกงกินบ้านเมืองต่อไป
“ประเทศไทยกำลังเจอวิกฤตทางปัญญา ผมสมเพชคนที่เชื่อว่าผมรับเงินทักษิณ ที่นายปานเทพบอกสนธิไม่อยากคบคนเช่นนี้ เบาไป ผมไม่ใช่แค่ไม่อยากคบ แต่อยากจะบอกไปให้ไกลๆ เลยอย่าเข้ามาใกล้ผมเป็นอันขาด คนด้อยปัญญาเช่นนี้อยู่ไกล้ผมไม่ได้หรอก”
นายสนธิกล่าวต่อว่า พันธมิตรฯ ถ้าไม่มีปัญญา เชื่อข่าวลือบ้าๆ บอๆ ก็ไปห่างๆ ตนเลย ช่วงชุมนุม 158 วัน เราไม่ตระหนักว่าพันธมิตรฯ จะมีกี่คน เราสนใจอย่างเดียว คือ หลักการที่เราสู้แต่ต้น คือไม่ยอมรับความชั่วหรือพวกเลวน้อยกว่า คุณเห็นด้วยหรือไม่ ตนเคยเปรียบเทียบเสมอระหว่างข้าวกับขี้ เรากินข้าว ไม่กินขี้ คนที่เชียร์พรรคประชาธิปัตย์บอกประชาธิปัตย์เลวน้อยกว่าจะให้สนับสนุน ก็ไม่ต่างจากกินข้าวผสมขี้ ดังนั้น ตนขอกินข้าวเฉยๆ แม้จะเหลือเพียง 5-6 คนอยู่กินข้าวกับตน แล้วให้คนอื่นกินข้าวผสมขี้ตนก็เอา
นายสนธิกล่าวถึงสาเหตุที่ไม่ได้ออกทีวีว่า เป็นเพราะอยากให้โอกาสคนรุ่นหลัง ตนมีหน้าที่อย่างเดียว คือศึกษาหาความรู้ต่อไป ชีวิตตนหลังเข้ามายืนจุดนี้ต้องสูญเสียโลกส่วนตัวประเมินเป็นเงินไม่ได้ ทำอะไรไม่มีสิทธิ์ทำตามใจตัวเองเลย ต้องคิดถึงพี่น้องที่เชื่อมั่นในตัวของตนตลอด แม้อยากไปเที่ยวมาเก๊าใจแทบขาด เพราะเป็นแหล่งกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่หลายแห่ง ตนเป็นคนชอบดูแสดงโชว์ดีๆ แล้วแสดงโชว์ดีๆ จะอยู่ในกาสิโน ทั้งหมดตนได้แต่คิดไม่กล้าไป แม้จะไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แน่นอนต้องมีคนกล่าวหาว่าเอาเงินบริจาคช่วยเอเอสทีวีไปเที่ยวมาเก๊า
“ผมกล้าพูดตอนนี้ พี่พิภพเป็นพยาน วันที่ชุมนุมช่วงแรกๆ พี่พิภพไม่เคยไว้ใจผมเลย ตั้งข้อสงสัยกับผมตลอดเวลา แต่ 5-6 ปีที่ผ่านมา ผมเอาพี่พิภพเป็นมาตรฐาน หากผมเป็นคนเลวจริง พี่พิภพไม่เชื่อใจผมขนาดนี้หรอก ผมเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีเบื้องหลัง พูดคำไหนคำนั้นพี่พิภพรู้ดี และผมไม่เคยคิดทำร้ายกระบวนการภาคประชาชนเลย” นายสนธิกล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวถึงกรณีมีคนถามนายสนธิ ลิ้มทองกุล หายไปไหนไม่เห็นออกทีวีว่า นายสนธิไม่ได้หายไปไหน อยู่ที่บ้านพระอาทิตย์ทุกวัน วันนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ฝากข้อความมาถึงพี่น้องพันธมิตรฯ ว่า “ใครก็ตามที่สงสัยว่าสนธิรับเงินทักษิณ สนธิเขาไม่อยากคบด้วย เพราะคนที่เป็นพันธมิตรฯ จริงๆ ต้องมีปัญญา ฟังเขาเล่าอย่างไม่มีเหตุผลจะเป็นพันธมิตรฯ ได้อย่างไร”
ตรรกะจอดับเพื่อรับเงินทักษิณนั้น ช่วงเอเอสทีวีจอดับ นายสนธิได้ขายทรัพย์สินของครอบครัว ไปทวงเงินจากเพื่อนที่อเมริกา ไปหาสปอนเซอร์ขอเก็บเงินล่วงหน้าแล้วจะทยอยโฆษณาให้ รวบรวมเงินไปเช่าช่วงสัญญาณดาวเทียมช่องใหม่ ดังนั้นไม่มีเหตุผลเลยที่นายสนธิจะไปรับเงินทักษิณ และที่มีคนกล่าวหาว่าจอดับเพราะพันธมิตรฯ ต้องการหาเรื่องชุมนุมเพื่อจะได้เงินบริจาค ตรงนี้ต้องบอกว่าช่วงชุมนุมเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด เนื่องจากสถานีถ่ายทอดสดตลอดทั้งวันไม่มีเงินได้จากค่าโฆษณาเลย
ส่วนที่นายสนธิหายไปจากหน้าจอทีวี เป็นเพราะหากเป็นเรื่องรายวัน สถานีเอเอสทีวีก็มีการรายงานสถานการณ์หมด ดังนั้น นายสนธิจึงไม่จำเป็นต้องออกมาพูดปัญหาการเมืองรายวันอีก อีกอย่างเรื่องที่เคยพูดเรื่องสำคัญๆ อย่างวิกฤตของประเทศ ปัญหาภัยธรรมชาติ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก สงครามการเมืองระหว่างประเทศ ต่างพูดมาหมดแล้วและทุกอย่างที่พูดเกิดก็ขึ้นจริงในภายหลัง
สำหรับตัวอย่างที่เคยพูดเรื่องภายในประเทศ เช่น ให้คนไทยเลิกซื้อหนังสือพิมพ์มติชน ขบวนการล้มเจ้า แก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาวิหาร ประชาธิปัตย์ยุบสภาแพ้แน่นอน แถมยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้พรรคเพื่อไทยทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ดังนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดปัญหารายวันที่เป็นปัญหาเสี้ยวหนึ่งที่เคยพูดมาแล้ว ฉะนั้น ตนเชื่อว่าเหตุผลที่นายสนธิไม่ออกทีวีเพราะไม่มีความจำเป็นต้องพูดซ้ำซาก ขอสงวนสิทธิ์ไว้พูดในสิ่งที่ไม่เคยพูดดีกว่าในอนาคต ถ้านายสนธิออกมาพูดเมื่อไร ส่งสัญญาณได้ทันทีต้องเป็นเรื่องใหญ่