ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “อ.เทพมนตรี” ร่วมเสวนากรณีปราสาทเขาพระวิหาร ชี้ยังขาดการติดตามและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จึงถูกตีมึนว่าเป็นของกัมพูชา ชูข้อสงวนสิทธิ์เป็นการเรียกคืนตัวปราสาทรัฐบาลต้องเข้าใจ ทั้งเร่งดำเนินการต่อ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยไทย ตอก “ปู” พลิกลิ้นขอโดดเข้าร่วมสมาชิกภาคีมรดกโลกทั้งที่ลาออกไปยังไม่ทันครบปี
วันนี้ (17 ธ.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ณ โรงแรมเอเชี่ยน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา ร่วมกับ สถานีวิทยุสงขลารวมใจ FM 95.50 MHz จัดเวทีเสวนา “พลังปัญหาปกป้องแผ่นดิน” โดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และ อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ เพื่อไม่ให้ ASTV จอดับ และสานเจตนารมณ์การต่อสู้ทางการเมืองภาคประชาชน ท่ามกลางการติดตามข้อมูลข่าวสารของพันธมิตรฯ จากหลายจังหวัด และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมเวทีอย่างล้นหลาม
อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ กล่าวถึงปัญหาพื้นที่และอธิปไตยปราสาทเขาพระวิหารว่า หลังคำพิพากษาของศาลโลก พ.ศ.2505 ซึ่งพูดถึงเรื่องอำนาจอธิปไตย แต่คนค่อนประเทศที่ร่วมสมัยยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี มีความเชื่อต่อกันมาว่าพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ทั้งที่สมัยนั้นเรามีข้อสงวนสิทธิ์ในการเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคตตามที่กฎหมายพึงมี โดยปฏิบัติตามกฎมาโดยตลอดว่าจะมีการการถอนกำลังทหาร ตำรวจรักษาการ, คืนโบราณวัตถุที่พบในบริเวณปราสาท
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดต่อมาหลังจากนั้นก็ปล่อยปละเรื่องนี้มาโดยตลอด แม้แต่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย จะมีการดำเนินการในฝั่งไทย แต่ก็มีปัญหาการเสียรังวัดทั้งบนบกและทางทะเลมาโดยตลอด ทำให้ในขณะนี้ยากต่อการอธิบายให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วนั้นเป็นของไทย ด้วยรัฐบาลที่เข้ามานั้นไม่รู้เรื่องปราสาทเขาพระวิหารทั้งนั้น จึงจัดการปัญหานี้ไม่ถูก
สถานการณ์ล่าสุด ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ว่า จะรักษาอธิปไตยและดินแดนไทย แต่ผลงานเห็นเพียงกระทรวงต่างประเทศคืนพาสปอร์ตให้พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และออกมติกระทรวงฯ ว่าจะกลับเข้าร่วมเป็นสมาชิกภาคีมรดกโลกอีกครั้ง ทั้งที่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลาออกจากการเป็นคณะกรรมการมรดกโลก และกำลังจะมีผลหลังจากที่ประกาศ 1 ปี แต่รัฐบาลชุดใหม่กำลังจะกลับเข้าไปใหม่อีก
“คุณสุวิทย์ลาออกด้วยเหตุผลแผนบริหารจัดการของกัมพูชาทำให้ไทยเสียดินแดน ดังนั้น การที่กระทรวงต่างประเทศจะกลับร่วมเป็นภาคีอีกครั้ง ต้องย้อนถามคุณยิ่งลักษณ์ว่าจะตอบคำถามก่อนว่า คนไทยไม่เสียดินแดนแล้วเหรอ และมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนตั้งแต่ปี 2551 นั้นถูกต้องหรือไม่ และจะขึ้นทะเบียนเฉพาะอาคารอย่างเดียวโดยที่ไม่มีบริเวณเพื่อเป็นพื้นที่ป้องกันไม่ได้ได้รับความเสียหายได้ไหม” อ.เทพมนตรี กล่าวต่อและว่า
หากมองกลุ่มคนในเรื่องนี้แบ่งเป็นกลุ่มนั้น ในกลุ่มนักวิชาการมีความคิดแตกแยกกันเองว่าเป็นของกัมพูชาไปแล้ว ขณะที่คนไทยรู้เรื่องปราสาทเขาพระวิหารน้อยเกินไป จึงต้องเชื่อตามคนอื่นและไม่กล้าถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มิต้องพูดถึงกลุ่มนักธุรกิจที่มีผลประโยชน์ร่วมกับกัมพูชา, ข้าราชการใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงตามรัฐบาล และใช้การประนีประนอมในการอยู่รอด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์ความรู้ขาดตอน เพราะหนังสือที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เป็นความลับ อยู่ภายใต้กฎระเบียบของราชการที่นักวิชาการและประชาชนไม่ทราบ
ทั้งที่เมื่อไปองค์การยูเนสโก้นั้นเอกสารทุกอย่างมีการแจกอย่างเปิดเผย แต่เมื่อนักการเมืองนำเอกสารกลับมาประเทศไทยจะตีเป็นเอกสารลับทั้งหมด ทว่า เมื่อตนได้เดินทางไปยูเนสโก้ด้วยตัวเองจึงเห็นเอกสารหลายอย่างว่าในแต่ละรัฐบาลนั้น ดำเนินการอย่างไรกับปราสาทเขาพระวิหารบ้าง นอกจากนั้น ในกลุ่มต่างชาตินั้นก็แตกออกเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกับกัมพูชา, กลุ่มที่ไม่รู้จริงๆ แต่มีตำแหน่งเกี่ยวข้อง และกลุ่มที่อยากเอาใจไทย-กัมพูชา จึงให้ไกล่เกลี่ยตกลงร่วมกัน
“ทหารซึ่งต้องรักษาอธิปไตยของชาติ ก็ละหน้าที่ของตัวเองในรัฐบาลนี้เช่นเดียวกัน อ้างว่ารัฐบาลไม่สั่ง เชื่อรัฐบาลเสียมากกว่า ในเบื้องต้นภาคประชาชนก็ทำได้เพียงว่า หากต้องสูญเสียดินแดนอธิปไตยส่วนนั้น หรือนักการเมืองทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องอาศัยกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าจะใช้เวลานานก็ตาม ก็ต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรม แม้ว่าศาลบ้านเราต้องมีการปรับปรุงกระบวนการใหม่ก็ตาม โดยบางเรื่องไม่ต้องรอให้มีคนไปฟ้องแต่ศาลสามารถทำงานเชิงรุกได้ แต่คงไม่ได้เห็นในช่วงอายุยุคเรา” อ.เทพมนตรีกล่าวทิ้งท้าย
