บ้านพระอาทิตย์
ไม่น่าเชื่อว่ายิ่งนานไปพวกนักการเมือง อดีตทหารใหญ่ สมองยิ่งฝ่อ ไม่พัฒนา แต่ขณะเดียวกันหากมองอีกด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะชาวบ้านเริ่มหูตาสว่างขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม ไม่ยอมให้พวก “กระจอก” เหล่านี้กระชากลากถูบ้านเมือง “เกี้ยเซียะ” แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เหมือนเช่นอดีตเก่าก่อนได้ง่ายๆอีกต่อไปแล้ว
ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการสร้างความปรองดองของคนในชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังเดินสายหาหารือกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะการนัดพบหารือกับบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล อ้างว่าเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ
เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่พิลึกปน “สมเพช” และ ทุเรศสิ้นดี ไม่นึกว่าเกิดขึ้นแบบนี้ได้อย่างไร เพราะล่าสุดทราบว่า ทั้ง พล.อ.สนธิ และ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มหันกลับมาจับมือจูบปากกัน มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองสอดรับซึ่งกันและกัน
หรือแม้แต่การไปออกรายการโทรทัศน์ร่วมกันระหว่าง สุริยะใส กตะศิลา กับ จตุพร พรหมพันธุ์ มีการจับมือกันพูดจาอวยชัยซึ่งกันและกัน อ้างถึงความเป็นเพื่อนเก่าแก่คบหากันมานานก็น่าผะอืดผะอมไม่แพ้กัน แม้ว่ามองเผินๆไม่น่าจะผิด เพราะทุกคนต้องมีเพื่อนและมีอดีต แต่การที่บอกว่าเคย “แอบนัดพบกัน” เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นนี่สิถือว่าเป็นการ “ทำร้ายจิตใจ” ทำลายความรู้สึกของคนที่เคยร่วมต่อสู้ร่วมแนวทางเดียวกันมา
ที่สำคัญได้เห็นพฤติกรรมของ จตุพร แล้วว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง มีความเถื่อนถ่อย เคยมีวาจาจาบจ้วงทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไรมาบ้าง ลืมแล้วหรือกับคำพูดเรื่อง “กระสุนพระราชทาน” ที่ชัดเจนโดยไม่ต้องตีความ มันก็เหมือนกับความเห็นของชาวบ้านส่วนหนึ่งที่บอกว่าหากมีเพื่อนแบบนี้ก็ต้องเลิกคบนั่นแหละ
ดังนั้นช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกรุมด่ากันขรม สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความหมายที่ว่าสิ่งไหนก็ตามถ้ามันไม่ชอบมาพากล ชาวบ้านเขามองเห็นอยู่ และยิ่งเป็นชาวบ้านที่ผ่านการสังเคราะห์ข้อมูลมาอย่างโชกโชน ยิ่งต้องระวังให้จงหนัก
วกกลับมาที่การเคลื่อนไหวของ พล.อ.สนธิ ที่ต้องถือว่าเป็นเป้าหมายหลัก เนื่องจากเป็นความเคลื่อนไหวที่พิลึก แต่ขณะเดียวกันยังเป็นการสะท้อนตัวตนได้อีกครั้งว่าคนๆนี้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้น เพียงแต่ฉกฉวยสถานการณ์ให้ได้ประโยชน์และนำไปสู่เป้าหมายของตัวเองเท่านั้น
หากย้อนกลับไปพิจารณาเหตุการณ์ในอดีต เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ พล.อ.สนธิ เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข(คปค.) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ในภายหลัง ซึ่งในคราวนั้น คณะรัฐประหารได้ตั้งข้อหาหนัก 5 ข้อที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่ามีทั้ง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทุจริตคอรัปชั่น ทำให้บ้านเมืองแตกแยก ล้วนเป็นข้อหาหนักทั้งสิ้นและไม่สมควรให้อภัย ไม่สมควรญาติดีต่อกันได้เลย
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกปลดพ้นตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก จึงต้องชิงลงมือเสียก่อนก็ได้
อย่างไรก็ดีหากแยกพิจารณาเฉพาะข้อหาดังกล่าวถือว่าร้ายแรง และมีหลักฐานประจักษ์ ทั้งในกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งที่ผ่านมาศาลก็ได้ตัดสินความผิดออกมาแล้ว และกำลังค้างคาอยู่ในศาลหลายคดี สิ่งเหล่านี้รับรองว่าไม่ใช่เรื่องการเมืองแน่นอน แต่เป็นความผิดอาญาที่จะไปยอมความ ประนีประนอมกันได้ เพราะต้องไปชี้ขาดกันในศาล ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าใครก็ต้องเดินทางนี้ทุกคน
เหมือนกับว่า ขาวกับดำ ถูกกับผิด ดีกับชั่วปรองดองกันไม่ได้ ฉันใด ขณะเดียวกันเมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหาเขาว่ามีความผิดรุนแรง แต่กลายเป็นว่าเวลานี้กำลังเคลื่อนไหวเดินเกมเพื่อหาทางปรองดอง มันก็ไม่ต่างจากปรองดองกับคนชั่ว ไม่ต่างจากการ “หลอกต้ม” ชาวบ้าน กลายเป็นว่าเป็น “ปาหี่” ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ เมื่อทุกอย่างลงตัวต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็หาทางจับมือกัน ซึ่งเป็นเพราะแบบนี้แหละที่ทำให้การเมืองไทยไม่ยอมพัฒนาไปไหน
การปรองดองเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้สังคมเกิดความสงบสุขร่มเย็น แต่การคิดปรองดองกับคนชั่ว คนทำผิดกฎหมาย ที่สำคัญคนๆนั้นไม่เคยสำนึกผิด ยังคิดหาทางทำลายฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือทำไมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรม และปลายทางสุดท้ายอยู่ที่การตัดสินของศาล หลังจากนั้นก็ค่อยมาว่ากันว่าจะหาทางปรองดองกันอย่างไร แม้ที่ผ่านมา ทักษิณ ก็เคยกลับมาต่อสู้ตามกระบวนการเมื่อเห็นว่าตัวเองได้เปรียบ มีรัฐบาล “หุ่นเชิด” เขาก็เข้ามา แต่พอเห็นท่าไม่ดี “ซื้อ” ไม่ได้ ก็หลบหนีไปโวยวายอยู่ข้างนอกและหันกลับมาปลุกระดมเผาบ้านตัวเอง
คนแบบนี้นอกจากไม่ปรองดองด้วยแล้ว หากเจอหน้ากันจังๆสมควรที่จะถุยน้ำลายใส่หน้าเสียด้วยซ้ำ ต้องจำเอาไว้ว่า ดีกับชั่ว ปรองดองกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด !!