“อภิสิทธิ์” เตือนรัฐบาลตั้งหน้าตั้งตากู้เงิน โดยไม่ทบทวนแผนการใช้จ่าย แถมกำหนดแนวทางกระทบแบงก์ชาติ และ ธนาคารพาณิชย์ ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย แนะประเมินผลกระทบจากปริมาณเงินที่จะเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ และเป็นภาระต่อสถาบันการเงิน ขณะที่ประชาชนต้องแบกดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ครม.อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก.เงินกู้ 4 ฉบับ ว่า ยังไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วรูปแบบของกฎหมายจะออกมาอย่างไร จึงต้องตรวจสอบมติ ครม.อีกครั้ง โดยต้องดูว่าจะเข้าเงื่อนไขที่จะออก พ.ร.ก.หรือไม่ โดยตนยังยืนยันว่า ในขณะที่รัฐบาลยังไม่มีการทบทวนแผนการใช้จ่าย แต่กลับมีความพยายามระดมเงิน โดยกำหนดแนวทางที่กระทบธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารอื่นๆ ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย อีกทั้งจะทำให้รัฐบาลไม่ตระหนักถึงภาระที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ตัวเองก่อไว้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีความขัดแย้งเชิงนโยบายระหว่าง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ และ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ว่า จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความเห็นที่ไม่ตรงกันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องมีแนวทางการบริหารที่ตรงกัน โดยต้องเร่งหาข้อยุติเพื่อให้นโยบายมีความสม่ำเสมอ โดยหัวหน้ารัฐบาลมีหน้าที่เข้ามาดูแล ซึ่งนายกฯ อาจจะไม่ตอบคำถามสื่อในเรื่องนี้ได้ แต่ประเด็นคือ ต้องมีแนวทงการบริหารเพื่อให้เกิดความมั่นใจในความเป็นเอกภาพ และทิศทางของรัฐบาล
“ผมคิดว่า ต้องประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นในแง่ปริมาณเงินที่จะเข้าสู่ระบบ และผลที่จะตามมา เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีภาระในภายหลัง จึงต้องจับตาเรื่องเงินเฟ้อ และภาระที่สถาบันการเงินต้องแบกรับมากขึ้น ว่า จะส่งผลทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วยหรือไม่ แต่ผมยังคิดว่าการทำหน้าที่ของ ผู้ว่าการ ธปท.ยังทำงานของตนเองได้ และอยากให้รัฐบาลพูดให้ชัดว่าจะนำเงินไปใช้ทำอะไร มีอะไรที่ทำให้ประชาชนมั่นใจว่าในอนาคตจะไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมอีก ซึ่งไม่มีรายละเอียดตรงนี้”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องตอบด้วยว่าเหตุใดจึงต้องเร่งรีบกู้เงินจำนวนมาก ทั้งๆ ที่หลายโครงการยังไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเวลานี้ ทำไมจึงไม่ผลักเข้าสู่ระบบงบประมาณปกติ ขณะเดียวกันโครงการที่รัฐบาลทำก็ต้องเชื่อมโยงรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ไม่เช่นนั้นการดำเนินโครงการก็ไม่ราบรื่น ทั้งนี้ เรื่องเดียวที่ตนเห็นด้วยจาก พ.ร.ก.4 ฉบับ คือ การตั้งกองทุนประกันภัย 5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลกำลังใช้ กยน.และ กยอ.เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมเพื่อกู้เงินหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังยืนยันว่า รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะตนผิดหวังกับการจัดงบประมาณที่เดิมจัดเป็นงบกลาง แต่ผ่านไปกว่า 2 เดือนก็ยังไม่มีรายละเอียด และยังเป็นห่วงการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งยังไม่เห็นว่าจะเบิกจ่ายได้ทันกับปีงบประมาณได้ย่างไร แต่กำลังจะกู้เงินอีกมหาศาล ซึ่งก็เป็นเพราะวิธีคิดของรัฐบาลต้องการมีเงินอยู่ในมือมากๆ และใช้จ่ายโดยไม่มีใครตรวจสอบตามระบบปกติ จึงคิดว่าเมื่อรัฐบาลได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรูปแบบกฎหมายก็ต้องทำความชัดเจน และเปิดเผยต่อสาธารณะชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส