ผู้นำฝ่ายค้าน ปล่อยสภาพิจารณาให้เอกสิทธิ์คุ้มครอง “ครรชิต” เฉ่งรัฐบาลโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ลล.โยนภาระให้แบงก์ชาติเกินจำเป็น ทำกระทบแนวบริหาร ด้านเงินเฟ้อ-อัตราแลกเปลี่ยน ชี้ นโยบายเศรษฐกิจ พท.เป็นอันตรายภาพรวม ข้องใจปรับลดใช้ไฟฟรีเหลือ 50 หน่วย
วันนี้ (28 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีศาลจังหวัดสมุทรสาคร ออกหมายจับ นายครรชิต ทับสุวรรณ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์ ว่า ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม พรรคเห็นว่า ที่ นายครรชิต มอบตัว คือ เรื่องที่ถูกต้องแล้ว หากบริสุทธิ์ก็ควรจะต่อสู้คดีต่อไป ส่วนประเด็นการให้รัฐสภาให้เอกสิทธิ์คุ้มครองนายครรชิตนั้น ก็ว่าไปตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อ นายครรชิต ดำรงตำแหน่ง ส.ส.ก็ควรจะมาประชุมตามปกติ ทั้งนี้ ทราบว่า สภายังไม่มีการบรรจุวาระเพื่อหารือประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวกรณีกระทรวงการคลัง เตรียมจะโอนภาระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า จะเป็นสร้างบรรยากาศความขัดแย้ง ระหว่างรัฐบาล กับ ธปท.และการทำให้เกิดภาพความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล กับธนาคารกลางเช่นนี้ จะไม่เป็นผลดีกับประเทศ เห็นได้จาก 1.การที่รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะผลักภาระเรื่องการเงินการคลังให้พ้นจากตัวเอง เพื่อให้ ธปท.รับผิดชอบ เป็นหลักไม่ถูกต้อง 2.รัฐบาลมีแนวทางที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ธปท.นั้นไม่มีความจำเป็น เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็มีการแก้ไขกฎหมายมาแล้ว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า 3.ช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลมีการตีกลับนโยบายการเงินที่มีการนำเสนอ4.การให้สัมภาษณ์จากบุคคลในรัฐบาลยังมีลักษณะพาดพิง ในลักษณะกดดัน เสมือน ธปท.ไม่รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง ทั้งนี้ ตนอยากจะเตือนว่าท่าทีดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นในสถานการณ์ ในช่วงที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเรื่องเหล่านี้ขยายวงออกไป นอกจากจะส่งผลกระทบในเนื่องภาพรวมวินัยแล้ว ยังกระทบขีดความสามารถในการบริหารของ ธปท.อาทิ ในเรื่องเงินเฟ้อ การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวน
“การที่ ธปท.ไม่สามารถชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีภาระในเรื่องดูแลไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนผันพวนเกินไป และเมื่อย้อนกลับไปดูจะเห็นว่า เมื่อมีเหตุการณ์ความผันพวน หน่วยงานต่างๆก็มักให้ ธปท.เข้าไปจัดการ แต่เวลา ธปท.จัดการแล้วมีภาระ ก็ไปบ่นว่าทำไมไม่เอาเงินมาทำแบบอื่น อันนี้คือ สิ่งที่เราอยากจะย้ำว่าเราควรจะแก้ไข สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ผมย้ำเสมอว่าเราควรจะเข้าใจว่าจุดยืน และแนวคิดการแก้ปัญหาอาจไม่ตรงกัน แต่ขอให้พูดคุยกันเป็นการภายในว่าความเห็นไม่ตรงกันอยู่บนสมมติฐานในเรื่องใด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในภาพรวมด้านนโยบายของพรรคเพื่อไทยนั้น กำลังส่งผลในหลายด้านซึ่งเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และไม่ส่งผลดีกับประชาชน อาทิ การไม่ทบทวนลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ จนนำมาสู่การสร้างภาระให้กับประชาชนในรูปแบบการกู้เงินกองทุนต่างๆ และจากเดิมที่พรรคเพื่อไทย ชอบกล่าวหารัฐบาลที่แล้วว่าเก่งแต่กู้ แต่รัฐบาลนี้ก็กู้อย่างเดียวไม่ทำอย่างอื่นเลย นอกจากนั้น ความพยายามผลักดันนโยบายบางเรื่องมักย้อนกลับไปที่ประชาชน เช่น การที่คณะรัฐมนตรี วานนี้ (27 ธ.ค.) ประกาศลดใช้ไฟฟ้าฟรีจาก 90 หน่วย เหลือ 50 หน่วยนั้น จะเป็นการนิยามกลุ่มประชาชนที่สมควรได้รับการละเว้นจากค่าไฟฟ้าใหม่ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวต้องสะท้อนความเป็นธรรมในสังคม เพราะผู้ที่ใช้ไฟฟ้ามากก็ควรจะเสียค่าไฟฟ้าในอัตราก้าวหน้า แต่นโยบายกลับตอกย้ำความไม่เป็นธรรม และทำให้คนจนต้องรับภาระมากขึ้น