xs
xsm
sm
md
lg

“ปึ้ง” แจงสภา อ้างศาล-ตร.ไม่ได้แจ้งยกเลิกพาสปอร์ตจึงออกใหม่ให้ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบกระทู้ถาม  ของนายองอาจ คล้ามไพบูลย์  ในการประชุมสภา ที่ รัฐสภา
“องอาจ” ตั้งกระทู้ถามพาสปอร์ต “นช.แม้ว” ถามคนต้องคดีทำไม กต.ยังกล้าออกให้ ยัน กม.ไม่มีให้อำนาจ รมว.ออกหนังสือได้ ชี้ขัดนิติธรรมชัด “สุรพงษ์” แจงอ้างกงสุลทำหนังสือแจ้งมา ย้ำนายใหญ่ไม่สร้างความเสียหาย ซัด “กษิต” ถอนเลือกปฏิบัติชัดเหมือนริบบัตร ปชช. ยันไม่รู้ ขรก.ออกให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ระบุกรมสนธิสัญญาชี้ศาล-ตร.ไม่ได้แจ้งยกเลิกหนังสือเดินทางเอง สับยึด 4 หมื่นล้านนายใหญ่ไม่ละอายใจหรือ


วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้สดถามนายกฯ เรื่องการบริหารงานด้านต่างประเทศของรัฐบาลเกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากมีข่าววิจารณ์ในเรื่องนี้ หลายคนในรัฐบาลได้ออกมาสร้างความเข้าใจผิดว่า การออกหนังสือเดินทางก็เหมือนกับการออกบัตรประชาชน ทำไมคนต้องโทษหนีคดีจะมีไม่ได้ ซึ่งตนขอเรียนว่าเรื่องนี้ต่างกับ การมีบัตรประชาชนที่จะใช้ในการแสดงสถานะคนในชาติ ไม่สามารถเรียกคืนได้ แต่หนังสือเดินทางไว้สำหรับใช้เดินทางไปมาระหว่างประเทศ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่า คนที่ต้องคำพิพากษาควรจะได้รับหนังสือเดินทางหรือไม่

นายองอาจกล่าวว่า ส่วนที่วิจารณ์ว่าพวกตนก้าวไม่พ้นคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ขอยืนยันว่า เราพร้อมที่จะก้าวพ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณจะก้าวพ้นความอยู่เหนือกฎหมายของไทย แต่ตลอดที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้ก้าวพ้นการอยู่เหนือกฏหมาย ตรงข้ามกลับพยายามใช้อำนาจ ทุกช่องทางในการอยู่เหนือกฎหมาย ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนคนทั้วไป คือมารับโทษ เชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมจะก้าวพ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนที่หาว่าฝ่ายค้านหมกมุ่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แค่หนังสือเดินทางเล่มเดียวก็ตามราวีไม่หยุด ยืนยันว่าเราไม่ได้ตามราวีโดยไม่มีเหตุผล ถ้าหนังสือเดินทางได้มาโดยถูกต้องไม่มีใครว่าอะไร แต่พบว่าการได้มาโดยหนังสือเดินทางครั้งนี้มีความไม่ถูกต้องมากมาย

นายองอาจกล่าวต่อว่า ตนจึงขอตั้งคำถามว่า วันนี้อดีตนายกฯ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก2 ปี และมีหมายจับอีกหลายคดี ทำไมรัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล้าออกหนังสือเดินทางให้ และขณะอยู่ระหว่างการพิจารณาออกให้นั้นมีการปฏิเสธหรือยับยั้งตามระเบียบหรือไม่ และพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นคำร้องที่สถานทูตไทย ที่กรุงอาบูดาบี วันที่ 25 ต.ค.ด้วยตัวเองหรือไม่ และกระทรวงการต่างประเทศได้ออกเล่มให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือพาสปอร์ตตั้งแต่วันนี้ 26 ต.ค.ไปแล้วใช่หรือไม่

นายสุรพงษ์ชี้แจงแทนนายกฯ ว่า การยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นไปตามการดำเนินการของรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.52 โดยอาศัยระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ข้อ 23 (7) ที่เจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนบุคคลใดที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย และต่างประเทศได้ แต่เมื่อตนมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ส่งเรื่องให้พิจารณาออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยทำรายงานจากกรมการกงสุลผ่านปลัดมาถึงตน ตนได้พิจารณาและใช้ดุลพินิจฐานะรัฐมนตรีและดูนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อไปไม่ได้ทำความเสียหายทั้งในและต่างประเทศ จึงขอให้เลิกคำสั่งเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว จากนั้นก็ดำเนินการออกหนังสือเดินทางโดยเจ้าหน้าที่กรมการกงสุลที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบต่อไป

นายสุรพงษ์กล่าวว่า เมื่อตนได้พิจารณาและสังเกตคำสั่งของอดีต รมว.ต่างประเทศแล้ว เห็นว่าเป็นการดำเนินการทางการเมืองอย่างชัดเจน คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเลือกปฏิบัติ เพราะมีหลายคนเข้าข่ายน่าจะถูกยกเลิก เหมือนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โดน แต่รัฐบาลชุดที่แล้วเลือกทำเฉพาะกับ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว ส่วนที่เปรียบเทียบเหมือนกับการยึดบัตรประชาชน นั้น เพราะการมีบัตรประชาชนเพื่อบ่งบอกว่าเราคือคนไทย แต่เมื่อเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องถูกตรวจสอบเหมือนการมีบัตรประชาชนในต่างประเทศเช่นกัน ฉะนั้นการที่เราไปยึด หรือเพิกถอนพาสปอร์ต เหมือนกับการเพิกถอนสัญชาติไทยที่แสดงถึงการเป็นคนไทยคนหนึ่ง ตนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยซ้ำไป ทั้งที่ความจริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปไหนมาไหน แทบจะไม่ได้ใช้หนังสือเดินทางของไทยเลย แต่ใช้ของประเทศอื่น เราน่าจะเบาๆกับการดำเนินการทางการเมือง ขอร้องอย่าเล่นการเมืองจนเกิดความเสียหาย ควรมาร่วมทำงานอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ประเทศชาติก้าวต่อไป เพื่อให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ส่วนประเด็นการออกหนังสือเดินทางฝ่ายข้าราชการไม่เคยแจ้งว่าออกไปเมื่อไหร่ แต่เมื่อมีคำถามจากฝ่ายค้าน ก็ได้รายงานมาถึงตนว่าพาสปอร์ต ถูกผ่านถุงเมลส่งไปยังสถานทูตอาบูดาบี เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เรียบร้อยแล้ว และตนมีหลายเรื่องที่ต้องเดินทางต้องทำเพื่อสร้างความสัมพันธ์ หลายเรื่องแต่ไม่อยากต่อว่ารัฐบาลที่แล้ว ขอให้ปล่อยผ่านไป เราหนีความจริงไม่พ้น หลายประเทศที่ไปพบ ได้ฝากสิ่งต่างๆ ให้รัฐบาลดำเนินการให้ดีขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ได้ดำเนินการอะไรเกินกว่าสิ่งที่จะทำ

ด้าน นายองอาจถามต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การเล่นการเมือง แต่เป็นความถูกต้องชอบธรรม ตั้งแต่นายสุรพงษ์เข้ามารับตำแหน่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นการเมืองเพื่อคนคนเดียว แสดงออกถึงการทำงานหลายครั้งหลายหนว่าใช้เวลาวางแผนเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียว ไม่เคยเห็นเพื่อส่วนรวม

ที่สำคัญบอกว่าถ้าไม่มีพาสปอร์ต เท่ากับไปถอนสัญชาติไทยนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะมีหลายคนที่ไม่มีพาสปอร์ตที่มีสัญชาติไทย เป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง อยากฝากไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้มีความเข้าใจตรงนี้ด้วย สิ่งที่ตนถามคือ มีการออกพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร ในเมื่อมีความชัดเจนว่าศาลตัดสินเป็นผู้กระทำความผิดจำคุกสองปีแล้ว และได้ยื่นคำร้องขอออกนอกราชอาณาจักรชั่วคราวเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น และจีน ศาลก็ปรานีให้เดินทางไปญี่ปุ่นและจีนวันที่ 31 ก.ค. - 10 ส.ค. และให้กลับมารายงานตัวในวันที่ 11 ส.ค. แต่ก็ไม่กลับมา ในเมื่อระเบียบการออกหนังสือเดินทาง 48 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ

ที่สำคัญ คือ หมวด 7 การปฏิเสธหรือยับยั้งการขอหนังสือเดินทาง ข้อที่ 21 (2) ระบุว่า เมื่อผู้ร้องขอหนังสือเดินทางเป็นผู้ถูกดำเนินคดีอาญา หรือถูกออกหมายจับ และ (3) ที่ระบุว่าบุคคลที่ศาล หรือเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องสั่งห้ามไม่ให้บุคคลใดเดินทางออกจากราชอาณาจักร ทางกระทรวงการต่างประเทศไม่ดูเลยหรือ ไม่มีหมวดไหนให้อำนาจ รมว.กระทรวงต่างประเทศให้อำนาจออกหนังสือเดินทางได้เหมือนที่นายสุรพงษ์อ้าง

“การออกหนังสือเดินทางครั้งนี้ ไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมแน่นอน และขัดต่อระเบียบของกระทรวงต่างประเทศ และสิ่งที่พูดก็ไม่ถูกต้อง อยากถามต่อไปว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า มีแนวความคิดที่จะออกหนังสือแบบธรรมดาให้ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ แต่ยังไม่ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่หลังจากนั้น โฆษกกระทรวงต่างประเทศ แถลงว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ไปขอหนังสือเดินทางเมื่อ 25 ต.ค. และออกให้เมื่อวันที่ 26 ต.ค. นับจากวันที่ออกมาพูดจนถึงวันออกหนังสือเดินทางเป็นเวลาเดือนกว่า แต่มีคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ อีกคนบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ทราบ แล้ววิญญาณใครไปขอหนังสือเดินทาง ทั้งที่โฆษกกระทรวงออกมาระบุว่าได้ทำตามนโยบายรัฐบาลชุดนี้ รู้อยู่แก่ใจว่าทำเสร็จและส่งไปให้แล้วทำไมไม่พูดความจริงกับคนไทยทั้งประเทศ และที่สำคัญ นายกฯ ออกมายืนยันเจตนารมณ์ ทำทุกอย่างยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ขอถามว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายออกหนังสือเดินทางให้กับนักโทษหนีคดีทุกคนหรือไม่” นายองอาจกล่าว

นายสุรพงษ์ชี้แจงอีกครั้งว่า ที่หาว่าตนทำการเมืองเพื่อคนคนเดียว แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ตามล่าคนคนเดียวตลอดเวลา พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาใส่ร้ายมาตลอด กรณีอินเตอร์โพล ก็พยายามบิดเบือนว่ามีหมายจับหมายแดง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อตรวจสอบกับกระทรวงต่างประเทศและตำรวจพบว่าไม่เคยมีการออกหมายจับเลย และที่บอกว่าตนเอาบินไปมอบถึงดูไบเพื่อมอบให้ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็ไม่จริง ทางกระทรวงต่างประเทศรายงานมาว่าได้ส่งไปทางถุงเมล และตนไปทำหน้าที่เยี่ยมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่อาบูดาบี และเชิญเขามาไทย โดยเขายังระบุว่า 2 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนน้ำแข็งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่สามารถพูดกับเมียนมาร์ให้เขาเปิดด่านแม่สอดที่ปิดไป 1 ปี 6 เดือนเศรษฐกิจเสียหายไปเท่าไหร่ ถึงจะไม่พูดฝรั่งปร๋อ ไม่ได้เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก แต่สามารถพูดจนรัฐบาลเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และความสัมพันธ์ดีขึ้น เวลาไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ต่างพูดว่ารัฐบาลที่แล้วไล่ตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณจนทะเลาะเบาะแว้งกับเขาหมด ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ อยากให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรประเทศจะได้เจริญ วันนี้มาพูดความจริงกัน”

นายสุรพงษ์ชี้แจงว่า ส่วนที่ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกออกหมายจับ ทำไมออกพาสปอร์ตได้นั้น วันนี้กรมสนธิสัญญา ได้เตรียมข้อมูลมาให้ตอบเบื้องต้นกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายการจะปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางตามระเบียบ ข้อ 21 (2) เมื่อได้รับแจ้งว่า ผู้ร้องที่ได้รับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ศาล หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเห็นว่าไม่มีควรออกหนังสือเดินทางให้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบไม่ครบองค์ประกอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีหมายจับในคดีต่างๆ แต่ศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง ซึ่งกระทรวงได้มีหนังสือสอบถามไปยังศาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับคำตอบมาโดยไม่ได้ชี้แจงเรื่องการให้ดำเนินการออกหนังสือเดินทาง ศาลแจ้งให้กระทรวงต่างประเทศทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำพิพากษาในคดีต่างๆ ส่วนตำรวจแจ้งว่าเป็นการออกหมายจับ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ไปศาลตามนัด ไม่ใช่การออกหมายจับตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และไม่ทราบรายละเอียดและสถานะทางคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่สามารถให้ความเห็นต่อการยกเลิกหนังสือเดินทางได้

นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีหมายจับสามารถทหนังสือเดินทางได้หรือไม่ ขอตอบว่าการใช้ระเบียบข้อ 21 (2) ต้องมีองค์ประกอบ 2 ข้อ คือ 1.มีหมายจับ และ2 ศาล พนักงานฝ่ายปกครองหรือตร เห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ ซึ่งในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ กรมสนธิสัญญาได้พิจารณาอย่างรอบคอบเห็นว่ายังขาดองค์ประกอบข้อ2

นายองอาจกล่าวว่า หนังสือเดินทางออกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. รัฐบาลพยายามชี้แจงว่า การไม่มีหมายจับเพราะศาลและตำรวจไม่ได้สั่งนั้น เป็นการอ้างระเบียบข้อ 21 (2) แต่ทำไมไม่พูดถึง (3) ที่ระบุถึงการห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศ การระบุว่าศาลไม่มีอำนาจในการให้ข้อมูลเพื่อปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศต้องพิจารณา โดยเฉพาะระเบียบหมวดที่ 7 เรื่องการยับยั้งทำไมกรมสนธิสัญญาระบุแค่ (2) ไม่ระบุ (3) และถือเป็นการลากข้าราชการกรมสนธิสัญญาเข้ามารับผิดชอบกับเรื่องนี้อีกด้วย

นายองอาจยังตั้งคำถามไปถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปร่วมหารือกับผู้นำลุ่มน้ำโขงที่ประเทศพม่า โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปปูทางเพื่อได้พบปะพูดคุยกับผู้นำรัฐบาลประเทศพม่า ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณมีความสัมพันธ์อันดีกับพม่าเรื่อยมา แต่ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างลูกชายของผู้นำพม่ากับอดีตผู้นำของไทย จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในพม่า ดังนั้น รัฐมนตรีมีอะไรยืนยันว่าการที่นายกฯ เดินทางไปพม่าจะไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และอีกหลายครอบครัวในประเทศพม่า

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตนไม่ได้โยนความผิดไปให้ข้าราชการกรมสนธิสัญญา แต่เขาเขียนมาให้ตอบ โดยระบุว่าที่ไม่ใช้ระเบียบข้อ 21 (3) ในการปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นแต่ข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแจ้งมาว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 มีคำสั่งห้าม พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ต่อมาวันที่ 28 ก.ค. พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นคำร้องขอออกนอกราชอาณาจักรเพื่อไปประเทศญี่ปุ่นและจีน ซึ่งก็ศาลอนุญาต และให้กลับมารายงานตัว 11 ส.ค.51 แต่เมื่อครบกำหนดทนายจำเลยมาแจ้งว่า จำเลยยังไม่เดินทางกลับมา ศาลจึงออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น จึงไม่น่าเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลหรือเจ้าพนักงาน สั่งห้ามไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ตามนัยยะ ข้อที่ 21 (3) เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ชั่วคราว ประกอบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว

ส่วนคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการเดินทางไปเยือนพม่าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ประธานนาธิบดี เต็งเส่ง มีความสนิทและชื่นชอบในตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่ไปเยือนก็จะพูดถึงแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คอยชี้นำให้กับรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการดูแลประชาชนให้มีงานทำ สร้างงานให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าไม่เคยลืม พอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี และที่เดินทางไปก็ทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทย พยายามจะไปลงนามข้อตกลงโครงการต่างๆที่เริ่มในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งซ่อมสะพานเนยวดี-แม่สอด สะพานเนยวดี-ตะนาวศรี

“ผิดกับรัฐบาลที่ผ่านมา ที่แม้จะพูดภาษาฝรั่งเก่งแต่ก็ไปทะเลาะกับประเทศต่างๆ อย่างกัมพูชาก็ไปตั้งท่าทะเลาะกับเขา แล้วความสัมพันธ์จะดีได้อย่างไร การที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่างๆ เล่นการเมืองถูกต้องหรือไม่ คดีที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นธรรมหรือไม่ ถ้าเป็นท่านบ้างจะรู้สึกอย่างไร ตลอดชีวิตหาเงินมา 4 หมื่นล้านกว่าจะได้มาก็ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่ได้โกงกินอย่างน้อยก็มีต้นทุน แต่ไปยึดของเขาหมดไม่ละอายใจบ้างหรือ อยากถามพวกท่านว่าหัวใจทำจากหินหรืออย่างไร” นายสุรพงษ์กล่าว



กำลังโหลดความคิดเห็น