ASTVผู้จัดการรายวัน - ปชป.เตรียมรวมหลักฐานยื่นปปช.ถอดถอน นายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ คืนพาสปอร์ต "แม้ว" กลางสัปดาห์หน้า หลังเอี่ยวลบข้อมูลความผิดในระบบคอมฯดีเอสไอ พร้อมกระทู้สดพาสปอร์ตฉาว อัด “ไอ้ปึ้ง” ตั้งหน้าสนอง “นายใหญ่” จี้ชี้แจง “แม้ว”โผล่พม่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ด้าน “ไอ้ปึ้ง” ชี้แจงเป็นฉาก ยกพ่อแม้ว ทำประโยชน์ให้ประเทศ อ้างกรมสนธิสัญญา ยันไม่ผิดเพราะศาล -ตร. ไม่ออกหมายจับ เปิดช่องให้ออกพาสปอร์ตได้ “ชำนิ” ชี้ “แม้ว” ปูทางน้องสาวก่อนเยือนพม่า เพราะต้องการแสดงความเป็นเจ้าของรบ.
ที่รัฐสภา นายวิรัช กัลยาศิริ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ได้ดำเนินการคืนหนังสือเดินทางประเภทธรรมดาให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีการลบฐานข้อมูลการออกหมายจับพ.ต.ท.ทักษิณในข้อหา ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นหรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดการก่อการร้ายป.อาญา มาตรา 135 / 1, 135 / 2 , 135 / 3 ประกอบมาตรา 83, 84, 85, 86
**จ่อยื่นถอดถอน "ปู-ปึ้ง"
นายวิรัช กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้มีการอ้างว่าเป็นการปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ของดีเอสไอ ทั้งนี้ เมื่อมีหมายจับชัดเจน ทางกระทรวงต่างประเทศไม่มีสิทธิดำเนินการออกพาสปอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเดียวกันจากการที่นายสุรพงษ์ได้แถลงชัดเจนว่า ไม่รู้เรื่องดังกล่าว ถือว่าเป็นการจงใจออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ และถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ จะปฏิเสธว่าไม่ทราบไม่ได้ รวมถึงข้าราชการที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ดี ตนจะนำเรื่องดังกล่าวยื่นให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกลางสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่ได้เป็นการกระทำของข้าราชการ แต่ต้องปฏิบัติตามฝ่ายการเมืองสั่งมาขณะที่เชื่อว่ารัฐบาลคงจะยื้อเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุดและเต็มกำลัง เพราะทักษิณเป็นเจ้าขอพรรคที่แท้จริง ซึ่งพรรคจะดำเนินการในคดีอาญา ถอดถอนออกจากตำแหน่งและเพิกถอนพาสปอร์ตเพราะถือว่าออกไปโดยมิชอบ และการโยนความผิดชอบให้กับข้าราชการ อยากถามว่าเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ พอจะเป็นจะตายก็โยนให้ข้าราชการประจำ
***ปชปงกระทูสดอัด "ปึ้ง"
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กระทู้สดถามนายกฯ เรื่องการบริหารงานด้านต่างประเทศของรัฐบาลเกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า เกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากมีข่าววิจารณ์ในเรื่องนี้ หลายคนในรัฐบาลได้ออกมาสร้างความเข้าใจผิดว่า การออกหนังสือเดินทางก็เหมือนกับการออกบัตรประชาชน ทำไมคนต้องโทษหนีคดีจะมีไม่ได้ ซึ่งตนขอเรียนว่าเรื่องนี้ต่างกับ การมีบัตรประชาชนที่จะใช้ในการแสดงสถานะคนในชาติ ไม่สามารถเรียกคืนได้ แต่หนังสือเดินทางไว้สำหรับใช้เดินทางไปมาระหว่างประเทศ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่า คนที่ต้องคำพิพากษาควรจะได้รับหนังสือเดินทางหรือไม่
ส่วนที่วิจารณ์ว่าพวกตนก้าวไม่พ้นคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ขอยืนยันว่า เราพร้อมที่จะก้าวพ้นพ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณจะก้าวพ้นความอยู่เหนือกฏหมายของไทย แต่ตลอดที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้ก้าวพ้นการอยู่เหนือกฏหมาย ตรงข้ามกลับพยายามใช้อำนาจ ทุกช่องทางในการอยู่เหนือกฏหมาย ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนคนทั้วไป คือมารับโทษ เชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมจะก้าวพ้นพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนที่หาว่าฝ่ายค้านหมกมุ่นกับพ.ต.ท.ทักษิณ แค่หนังสือเดินทางเล่มเดียวก็ตามราวีไม่หยุด ยืนยันว่าเราไม่ได้ตามราวีโดยไม่มีเหตุผล ถ้าหนังสือเดินทางได้มาโดยถูกต้องไม่มีใครว่าอะไร แต่พบว่าการได้มาโดยหนังสือเดินทางครั้งนี้มีความไม่ถูกต้องมากมาย
นายองอาจกล่าวว่า ตนจึงขอตั้งคำถาม ว่าวันนี้อดีตนายกฯ ซึ่งศาลฏีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก2 ปี และมีหมายจับอีกหลายคดี ทำไมรัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล้าออกหนังสือเดินทางให้ และ ขณะอยู่ระหว่างการพิจารณาออกให้นั้นมีการปฏิสธหรือยับยั้งตามระเบียบหรือไม่ และพ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นคำร้องที่สถานทูตไทย ที่กรุงอาบูดาบี วันที่ 25 ตค.ด้วยตัวเองหรือไม่ และกระทรวงการต่างประเทศได้ออกเล่มให้พ.ต.ท.ทักษิณถือพาสปอร์ตตั้งแต่วันนี้ 26 ตค ไปแล้วใช่หรือไม่
*** "ปึ้ง" อ้างทำตามรัฐบาลชุดที่แล้ว
นายสุรพงษ์ ชี้แจงแทนนายกฯว่า การยกเลิกหนังสือเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นไปตามการดำเนินการของรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. 52 โดยอาศัยระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ข้อ 23(7) ที่เจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนบุคคลใดที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย และต่างประเทศได้ แต่เมื่อตนมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ส่งเรื่องให้พิจารณาออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ โดยทำรายงานจากกรมการกงสุลผ่านปลัดมาถึงตน ตนได้พิจารราและใช้ดุลยพินิจฐานะรัฐมนตรีและดูนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อไปไม่ได้ทำความเสียหายทั้งในและต่างประเทศจึงขอให้เลิกคำสั่งเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว จากนั้นก็ดำเนินการออกหนังสือเดินทางโดยเจ้าหน้าที่กรมการกงสุลที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบต่อไป
นายสุรพงษ์กล่าวว่า เมื่อตนได้พิจารณาและสังเกตคำสั่งของอดีต รมว.ต่างประเทศแล้วเห็นว่าเป็นการดำเนินการทางการเมืองอย่างชัดเจน คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเลือกปฏิบัติ เพราะมีหลายคนเข้าข่ายน่าจะถูกยกเลิก เหมือนที่พ.ต.ท.ทักษิณโดน แต่รัฐบาลชุดที่แล้วเลือกทำเฉพาะกับพ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว ส่วนที่เปรียบเทียบเหมือนกับการยึดบัตรประชาชน นั้น เพราะการมีบัตรประชาชนเพื่อบ่งบอกว่าเราคือคนไทย แต่เมื่อเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องถูกตรวจสอบเหมือนการมีบัตรประชาชนในต่างประเทศเช่นกัน ฉะนั้นการที่เราไปยึด หรือเพิกถอนพาสปอร์ต เหมือนกับการเพิกถอนสัญชาติไทย ที่แสดงถึงการเป็นคนไทยคนหนึ่ง ตนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยซ้ำไป ทั้งที่ความจริงแล้วพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปไหนมาไหน แทบจะไม่ได้ใช้หนังสือเดนิทางของไทย เลย แต่ใช้ของประเทศอื่น เราน่าจะเบาๆกับการดำเนินการทางการเมืองขอร้องอย่าเล่นการเมืองจนเกิดความเสียหาย ควรมาร่วมทำงานอย่างสร้างสรร เพื่อให้ประเทศชาติก้าวต่อไป เพื่อให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ส่วนประเด็นการออกหนังสือเดินทางฝ่ายข้าราชการไม่เคยแจ้งว่าออกไปเมื่อไหร่ แต่เมื่อมีคำถามจากฝ่ายค้าน ก็ได้รายงานมาถึงตนว่าพาสปอร์ต ถูกผ่านถุงเมลส่งไปยังสถานทูตอาบูดาบี เพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณเรียบร้อยแล้ว และตนมีหลายเรื่องที่ต้องเดินทางต้องทำเพื่อสร้างความสัมพันธ์ หลายเรื่องแต่ไม่อยากต่อว่ารัฐบาลที่แล้ว ขอให้ปล่อยผ่านไป เราหนีความจริงไม่พ้น หลายประเทศที่ไปพบ ได้ฝากสิ่งต่างๆให้รัฐบาลดำเนินการให้ดีขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ได้ดำเนินการอะรเกินกว่าสิ่งที่จะทำ
** "องอาจ" โต้ไม่ใช่เล่นการเมือง
ด้านนายองอาจถามต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การเล่นการเมือง แต่เป็นความถูกต้องชอบธรรม ตั้งแต่นายสุรพงษ์เข้ามารับตำแหน่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นการเมืองเพื่อคนเดียว แสดงออกถึงการทำงานหลายครั้งหลายหนว่าใช้เวลาวางแผนเพื่อประโยชน์ของคนๆเดียว ไม่เคยเห็นเพื่อส่วนรวม ที่สำคัญบอกว่าถ้าไม่มีพาสปอร์ต เท่ากับไปถอนสัญชาติไทย นั้นไม่เป็นความจริง เพราะมีหลายคนที่ไม่มีพาสปอร์ตที่มีสัญชาติไทย เป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง อยากฝากไปถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้มีความเข้าใจตรงนี้ด้วย สิ่งที่ตนถามคือมีการออกพาสปอร์คให้พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไรในเมื่อมีความชัดเจนว่าศาลตัดสินเป็นผู้กระทำความผิดจำคุกสองปีแล้ว และได้ยื่นคำร้องขอออกนอกราชอาณาจักรชั่วคราวเพื่อเดินทางไป ญี่ปุ่น และจีน ศาลก็ปราณีให้เดินทางไปญี่ปุ่นและจีนวันที่ 31 กค-10 สค และให้กลับมารายงานตัวในวันที่ 11 ส.ค. แต่ก็ไม่กลับมา ในเมื่อระเบียบการออกหนังสือเดินทาง 48 สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่สำคัญคือหมวด 7 การปฏิเสธหรือยับยั้งการขอหนังสือเดินทาง ข้อที่ 21 (2) ระบุว่าเมื่อผู้ร้องขอหนังสือเดินทางเป็นผู้ถูกดำเนินคดีอาญา หรือถูกออกหมายจับและ(3) ที่ระบุว่าบุคคลที่ศาล หรือเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องสั่งห้ามไม่ให้บุคคลใดเดินทางออกจากราชอาณาจักร ทางกระทรวงการต่างประเทศไม่ดูเลยหรือ ไม่มีหมวดไหนให้อำนาจรมว.กระทรวงต่างประเทศให้อำนาจออกหนังสือเดินทางได้เหมือนที่นายสุรพงษ์อ้าง
“การออกหนังสือเดินทางครั้งนี้ไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมแน่นอน และขัดต่อระเบียบของกระทรวงต่างประเทศ และ สิ่งที่พูดก็ไม่ถูกต้อง อยากถามต่อไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ออกมา ให้สัมภาษณ์ว่า มีแนวความคิดที่จะออกหนังสือแบบธรรมดาให้พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่. แต่ยังไม่ได้คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่หลั้งจากนั้น โฆษกกระทรวงต่างประเทศแถลงว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้ไปขอหนังสือเดนิทางเมื่อ25 ตค และออกให้เมื่อวันที่26 ตค นับจากวันที่ออกมาพูดจนถึงวันออกหนังสือเดินทางเป็นเวลาเดือนกว่า แต่มีคนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณอีกคนบอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ทราบ แล้ววิญญาณใครไปขอหนังสือเดินทาง ทั้งที่โฆษกกระทรวงออกมาระบุว่าได้ทำตามนโยบายรัฐบาลชุดนี้ รู้อยู่แก่ใจว่าทำเสร็จและส่งไปให้แล้วทำไมไม่พูดความจริงกับคนไทยทั้งประเทศ และที่สำคัญ นายกฯออกมายืนยันเจตนารม ทำทุกอย่างยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ขอถามว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายออกหนังสือเดินทางให้กับนักโทษหนีคดีทุกคนหรือไม่”
นายสุรพงษ์ ชี้แจงอีกครั้งว่า ที่หาว่าตนทำการเมืองเพื่อคนๆเดียว แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ตามล่าคนๆเดียวตลอดเวลา พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาใส่ร้ายมาตลอด กรณีอินเตอร์โพล ก็พยายามบิดเบือนว่ามีหมายจับหมายแดงพ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อตรวจสอบกับกระทรวงต่างประเทศและตำรวจพบว่าไม่เคยมีการออกหมายจับเลย และที่บอกว่าตนเอาบินไปมอบถึงดูไบเพื่อมอบให้พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็ไม่จริง ทางกระทรวงต่างประเทศรายงานมาว่าได้ส่งไปทางถุงเมล และตนไปทำหน้าที่เยี่ยมสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ที่อาบูดาบี้ และเชิญเขามาไทย โดยเขายังระบุว่าสองปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนน้ำแข็งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
** ภาษาอังกฤษไม่กระดิกแต่เปิดด่านแม่สอดได้
“ แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่สามารถพูดกับ เมียนม่าให้เขาเปิดด่านแม่สอดที่ปิดไป 1 ปี 6 เดือนเศรษฐกิจเสียหายไปเท่าไหร่ ถึงจะไม่พูดฝรั่งปร๋อ ไม่ได้เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก แต่สามารถพูดจนรัฐบาลเมียนม่า กัมพูชา ลาว และความสัมพันธ์ดีขึ้น เวลาไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ต่างพูดว่ารัฐบาลที่แล้วไล่ตามล่าพ.ต.ท.ทักษิณจนทะเลาะเบาะแว้งกับเขาหมด ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ อยากให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรประเทศจะได้เจริญ วันนี้มาพูดความจริงกัน”
นายสุรพงษ์ชี้แจงว่า ส่วนที่ถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณถูกออกหมายจับ ทำไมออกพาสปอร์ต ได้นั้น วันนี้กรมสนธิสัญญา ได้เตรียมข้อมูลมาให้ตอบเบื้องต้นกรณี พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายการจะปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางตามระเบียบ ข้อ 21(2) เมื่อได้รับแจ้งว่า ผู้ร้องที่ได้รับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่าอยตัวชั่วคราว หรือเป้นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ศาล หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะมีหมายจับในคดีต่างๆ แต่ศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง ซึ่งกระทรวงได้มีหนังสือสอบถามไปยังศาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับคำตอบมาโดยไม่ได้ชี้แจงเรื่องการให้ดำเนินการออกหนังสือเดินทาง(ศาลแจ้งให้กระทรวงต่างประเทศทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำพิพากษาในคดีต่างๆ ส่วนตำรวจแจ้งว่าเป็นการออกหมายจับ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณไม่ไปศาลตามนัด ไม่ใช่การออกหมายจับตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และไม่ทราบรายละเอียดและสถานะทางคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่สามารถให้ความเห้นต่อการยกเลิกหนังสือเดินทางได้)
ส่วนที่ถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีหมายจับสามารถถือหนังสือเดินทางได้หรือไม่ ขอตอบว่าการใช้ระเบียบข้อ 21(2) ต้องมีองค์ประกอบ2ข้อ คือ 1.มีหมายจับ และ2 ศาล พนังงานฝ่ายปกครองหรือตร เห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ ซึ่งในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ กรมสนธิสัญญาได้พิจารณาอย่างรอบคอบเห้นว่ายังขาดองค์ประกอบข้อ2
*** ทำไมไม่อ้างข้อ 21 (3)
นายองอาจ กล่าวว่า หนังสือเดินทางออกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. รัฐบาลพยายามชี้แจงว่า การไม่มีหมายจับเพราะศาลและตำรวจไม่ได้สั่งนั้น เป็นการอ้างระเบียบข้อ21(2) แต่ทำไมไม่พูดถึง(3)ที่ระบุถึงการห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศ การระบุว่าศาลไม่มีอำนาจในการให้ข้อมูลเพื่อปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศต้องพิจารณา โดยเฉพาะระเบียบหมวดที่7 เรื่องการยับยั้งทำไมกรมสนธิสัญญาระบุแค่ (2) ไม่ระบุ(3) และถือเป็นการลากข้าราชการกรมสนธิสัญญาเข้ามารับผิดชอบกับเรื่องนี้อีกด้วย
นายองอาจยังตั้งคำถามไปถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เดนิทางไปร่วมหารือกับผู้นำลุ่มน้ำโขงที่ประเทศพม่า โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปปูทางเพื่อได้พบปะพูดคุยกับผู้นำรัฐบาลประเทศพม่า ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณมีความสัมพันธ์อันดีกับพม่าเรื่อยมา แต่ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างลูกชายของผู้นำพม่ากับอดีตผู้นำของไทย จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในพม่า ดังนั้นรัฐมนตรีมีอะไรยืนยันว่าการที่นายกฯเดินทางไปพม่าจะไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างครอบครัวของท่าน และอีกหลายครอบครัวในประเทศพม่า
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตนไม่ได้โยนความผิดไปให้ข้าราชการกรมสนธิสัญญา แต่เขาเขียนมาให้ตอบ โดยระบุว่าที่ไม่ใช้ระเบียบข้อ21(3) ในการปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณนั้นแต่ข้อเท็จจริงที่ศาลฏีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแจ้งมาว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 มีคำสั่งห้ามพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะไดรับอนุญาตจากศาล ต่อมาวันที่ 28 ก.ค.พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นคำร้องขอออกนอกราชอาณาจักรเพื่อไปประเทศญี่ปุ่นและจีน ซึ่งก็ศาลอนุญาต และให้กลับมารายงานตัว 11 ส.ค. 51 แต่เมื่อครอบกำหนดทนายจำเลยมาแจ้งว่า จำเลยยังไม่เดินทางกลับมา ศาลจึงออกหมายจับพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น จึงไม่น่าเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลหรือเจ้าหนักงาน สั่งห้ามไม่ให้พ.ต.ท.ทักิณเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ตามนัยยะ ข้อที่ 21(3)เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ชั่วคราว ประกอบกับพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว
ส่วนคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการเดินทางไปเยือนพม่าของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ประธานนาธิบดีเต็งเส่งมีความสนิทและชื่นชอบในตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่ไปเยือนก็จะพูดถึงแนวคิดของพ.ต.ท.ทักษิณคอยชี้นำให้กับรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการดูแลประชาชนให้มีงานทำ สร้างงานให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าไม่เคยลืม พอน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี และที่เดินทางไปก็ทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทย พยายามจะไปลงนามข้อตกลงโครงการต่างๆที่เริ่มในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งซ่อมสะพานเนยวดี -แม่สอด สะพานเนยวดี-ตะนาวศรี
“ผิดกับรัฐบาลที่ผ่านมา ที่แม้จะพูดภาษาฝรั่งเก่งแต่ก็ไปทะเลาะกับประเทศต่างๆ อย่างกัมพูชาก็ไปตั้งท่าทะเลาะกับเขา แล้วความสัมพันธ์จะดีได้อย่างไร การที่บอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่างๆ เล่นการเมืองถูกต้องหรือไม่ คดีที่เกิดขึ้นกับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าเป็นท่านบ้างจะรู้สึกอย่างไร ตลอดชีวิตหาเงินมา4 หมื่นล้านกว่าจะได้มาก็ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่ได้โกงกินอย่างน้อยก้มีต้นทุน แต่ไปยึดของเขาหมดไม่ละอายใจบ้างหรือ อยากถามพวกท่านว่าหัวใจทำจากหินหรืออย่างไร” นายสุรพงษ์กล่าว
**ซัด "แม้ว" ชอบนำทาง
นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยอมรับว่าเป็นคนปูทางและประสานงานกับประเทศพม่าเช่น การได้พบกับออง ซาน ซูจี เลขาฯพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของพม่า ให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯในการเดินทางไปเยือนประเทสพม่าว่า ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1.เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เคยมีในลักษณะเฉพาะเช่น การปล่อยเงินกู้ให้กับพม่าผ่านธนาคารเอ็กซิมแบงก์ในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ 2.พม่าเป็นประเทศเปิดใหม่ในสถานการณ์ใหม่การไปของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องในการเปิดประเทศของพม่า แต่เหนืออื่นใดตนยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความเป็นเจ้าของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้พม่าเห็นยิ่งกว่าประเทศใดในโลก ถึงเดินนำหน้าออกไปอย่างนั้น และหลังจากนี้เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกทักท้วง ก็จะหยุดเดินหน้าแต่จะใช้วิธีอื่นเพราะไปแล้วถูกขุดคุ้ยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และมั่นใจว่าประเทศต่อไปที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไป จะเป็นประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่เคยไป
“บนเวทีสากลสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะฉะนั้นพาสปอร์ตไทยมีความหมายกับพ.ต.ท.ทักษิณ จริงๆ เพราะพาสปอร์ตไม่ใช่แค่เครื่องหมายเฉพาะการเดินทาง แต่พาสปอร์ตที่ยืนในทางการเมืองบนเวทีสากลต่างหากที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ และในที่สุดก็ได้ไปจริงๆ” นายชำนิกล่าวและว่าทั้งนี้ข้อดีก็คือ ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ มีทางเดิน ข้อเสียก็คือ อยู่ภายใต้อาณัติ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จึงทำให้ฐานะการเมืองในระดับสากลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เป็นไปตามนั้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะนำความกดดันมาสู่ตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้งสิ้น
ที่รัฐสภา นายวิรัช กัลยาศิริ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ได้ดำเนินการคืนหนังสือเดินทางประเภทธรรมดาให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีการลบฐานข้อมูลการออกหมายจับพ.ต.ท.ทักษิณในข้อหา ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นหรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดการก่อการร้ายป.อาญา มาตรา 135 / 1, 135 / 2 , 135 / 3 ประกอบมาตรา 83, 84, 85, 86
**จ่อยื่นถอดถอน "ปู-ปึ้ง"
นายวิรัช กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้มีการอ้างว่าเป็นการปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ของดีเอสไอ ทั้งนี้ เมื่อมีหมายจับชัดเจน ทางกระทรวงต่างประเทศไม่มีสิทธิดำเนินการออกพาสปอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเดียวกันจากการที่นายสุรพงษ์ได้แถลงชัดเจนว่า ไม่รู้เรื่องดังกล่าว ถือว่าเป็นการจงใจออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ และถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ จะปฏิเสธว่าไม่ทราบไม่ได้ รวมถึงข้าราชการที่เกี่ยวข้องอย่างไรก็ดี ตนจะนำเรื่องดังกล่าวยื่นให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกลางสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่ได้เป็นการกระทำของข้าราชการ แต่ต้องปฏิบัติตามฝ่ายการเมืองสั่งมาขณะที่เชื่อว่ารัฐบาลคงจะยื้อเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุดและเต็มกำลัง เพราะทักษิณเป็นเจ้าขอพรรคที่แท้จริง ซึ่งพรรคจะดำเนินการในคดีอาญา ถอดถอนออกจากตำแหน่งและเพิกถอนพาสปอร์ตเพราะถือว่าออกไปโดยมิชอบ และการโยนความผิดชอบให้กับข้าราชการ อยากถามว่าเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ พอจะเป็นจะตายก็โยนให้ข้าราชการประจำ
***ปชปงกระทูสดอัด "ปึ้ง"
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กระทู้สดถามนายกฯ เรื่องการบริหารงานด้านต่างประเทศของรัฐบาลเกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า เกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากมีข่าววิจารณ์ในเรื่องนี้ หลายคนในรัฐบาลได้ออกมาสร้างความเข้าใจผิดว่า การออกหนังสือเดินทางก็เหมือนกับการออกบัตรประชาชน ทำไมคนต้องโทษหนีคดีจะมีไม่ได้ ซึ่งตนขอเรียนว่าเรื่องนี้ต่างกับ การมีบัตรประชาชนที่จะใช้ในการแสดงสถานะคนในชาติ ไม่สามารถเรียกคืนได้ แต่หนังสือเดินทางไว้สำหรับใช้เดินทางไปมาระหว่างประเทศ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่า คนที่ต้องคำพิพากษาควรจะได้รับหนังสือเดินทางหรือไม่
ส่วนที่วิจารณ์ว่าพวกตนก้าวไม่พ้นคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ขอยืนยันว่า เราพร้อมที่จะก้าวพ้นพ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณจะก้าวพ้นความอยู่เหนือกฏหมายของไทย แต่ตลอดที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้ก้าวพ้นการอยู่เหนือกฏหมาย ตรงข้ามกลับพยายามใช้อำนาจ ทุกช่องทางในการอยู่เหนือกฏหมาย ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนคนทั้วไป คือมารับโทษ เชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมจะก้าวพ้นพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนที่หาว่าฝ่ายค้านหมกมุ่นกับพ.ต.ท.ทักษิณ แค่หนังสือเดินทางเล่มเดียวก็ตามราวีไม่หยุด ยืนยันว่าเราไม่ได้ตามราวีโดยไม่มีเหตุผล ถ้าหนังสือเดินทางได้มาโดยถูกต้องไม่มีใครว่าอะไร แต่พบว่าการได้มาโดยหนังสือเดินทางครั้งนี้มีความไม่ถูกต้องมากมาย
นายองอาจกล่าวว่า ตนจึงขอตั้งคำถาม ว่าวันนี้อดีตนายกฯ ซึ่งศาลฏีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก2 ปี และมีหมายจับอีกหลายคดี ทำไมรัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล้าออกหนังสือเดินทางให้ และ ขณะอยู่ระหว่างการพิจารณาออกให้นั้นมีการปฏิสธหรือยับยั้งตามระเบียบหรือไม่ และพ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นคำร้องที่สถานทูตไทย ที่กรุงอาบูดาบี วันที่ 25 ตค.ด้วยตัวเองหรือไม่ และกระทรวงการต่างประเทศได้ออกเล่มให้พ.ต.ท.ทักษิณถือพาสปอร์ตตั้งแต่วันนี้ 26 ตค ไปแล้วใช่หรือไม่
*** "ปึ้ง" อ้างทำตามรัฐบาลชุดที่แล้ว
นายสุรพงษ์ ชี้แจงแทนนายกฯว่า การยกเลิกหนังสือเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นไปตามการดำเนินการของรัฐบาลชุดที่แล้วตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. 52 โดยอาศัยระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ข้อ 23(7) ที่เจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนบุคคลใดที่เห็นว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย และต่างประเทศได้ แต่เมื่อตนมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ส่งเรื่องให้พิจารณาออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ โดยทำรายงานจากกรมการกงสุลผ่านปลัดมาถึงตน ตนได้พิจารราและใช้ดุลยพินิจฐานะรัฐมนตรีและดูนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เห็นว่าการคงอยู่ต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อไปไม่ได้ทำความเสียหายทั้งในและต่างประเทศจึงขอให้เลิกคำสั่งเรื่องนี้ที่ออกโดยนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว จากนั้นก็ดำเนินการออกหนังสือเดินทางโดยเจ้าหน้าที่กรมการกงสุลที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบต่อไป
นายสุรพงษ์กล่าวว่า เมื่อตนได้พิจารณาและสังเกตคำสั่งของอดีต รมว.ต่างประเทศแล้วเห็นว่าเป็นการดำเนินการทางการเมืองอย่างชัดเจน คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเลือกปฏิบัติ เพราะมีหลายคนเข้าข่ายน่าจะถูกยกเลิก เหมือนที่พ.ต.ท.ทักษิณโดน แต่รัฐบาลชุดที่แล้วเลือกทำเฉพาะกับพ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว ส่วนที่เปรียบเทียบเหมือนกับการยึดบัตรประชาชน นั้น เพราะการมีบัตรประชาชนเพื่อบ่งบอกว่าเราคือคนไทย แต่เมื่อเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องถูกตรวจสอบเหมือนการมีบัตรประชาชนในต่างประเทศเช่นกัน ฉะนั้นการที่เราไปยึด หรือเพิกถอนพาสปอร์ต เหมือนกับการเพิกถอนสัญชาติไทย ที่แสดงถึงการเป็นคนไทยคนหนึ่ง ตนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยซ้ำไป ทั้งที่ความจริงแล้วพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปไหนมาไหน แทบจะไม่ได้ใช้หนังสือเดนิทางของไทย เลย แต่ใช้ของประเทศอื่น เราน่าจะเบาๆกับการดำเนินการทางการเมืองขอร้องอย่าเล่นการเมืองจนเกิดความเสียหาย ควรมาร่วมทำงานอย่างสร้างสรร เพื่อให้ประเทศชาติก้าวต่อไป เพื่อให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ส่วนประเด็นการออกหนังสือเดินทางฝ่ายข้าราชการไม่เคยแจ้งว่าออกไปเมื่อไหร่ แต่เมื่อมีคำถามจากฝ่ายค้าน ก็ได้รายงานมาถึงตนว่าพาสปอร์ต ถูกผ่านถุงเมลส่งไปยังสถานทูตอาบูดาบี เพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณเรียบร้อยแล้ว และตนมีหลายเรื่องที่ต้องเดินทางต้องทำเพื่อสร้างความสัมพันธ์ หลายเรื่องแต่ไม่อยากต่อว่ารัฐบาลที่แล้ว ขอให้ปล่อยผ่านไป เราหนีความจริงไม่พ้น หลายประเทศที่ไปพบ ได้ฝากสิ่งต่างๆให้รัฐบาลดำเนินการให้ดีขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ได้ดำเนินการอะรเกินกว่าสิ่งที่จะทำ
** "องอาจ" โต้ไม่ใช่เล่นการเมือง
ด้านนายองอาจถามต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การเล่นการเมือง แต่เป็นความถูกต้องชอบธรรม ตั้งแต่นายสุรพงษ์เข้ามารับตำแหน่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นการเมืองเพื่อคนเดียว แสดงออกถึงการทำงานหลายครั้งหลายหนว่าใช้เวลาวางแผนเพื่อประโยชน์ของคนๆเดียว ไม่เคยเห็นเพื่อส่วนรวม ที่สำคัญบอกว่าถ้าไม่มีพาสปอร์ต เท่ากับไปถอนสัญชาติไทย นั้นไม่เป็นความจริง เพราะมีหลายคนที่ไม่มีพาสปอร์ตที่มีสัญชาติไทย เป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง อยากฝากไปถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้มีความเข้าใจตรงนี้ด้วย สิ่งที่ตนถามคือมีการออกพาสปอร์คให้พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไรในเมื่อมีความชัดเจนว่าศาลตัดสินเป็นผู้กระทำความผิดจำคุกสองปีแล้ว และได้ยื่นคำร้องขอออกนอกราชอาณาจักรชั่วคราวเพื่อเดินทางไป ญี่ปุ่น และจีน ศาลก็ปราณีให้เดินทางไปญี่ปุ่นและจีนวันที่ 31 กค-10 สค และให้กลับมารายงานตัวในวันที่ 11 ส.ค. แต่ก็ไม่กลับมา ในเมื่อระเบียบการออกหนังสือเดินทาง 48 สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่สำคัญคือหมวด 7 การปฏิเสธหรือยับยั้งการขอหนังสือเดินทาง ข้อที่ 21 (2) ระบุว่าเมื่อผู้ร้องขอหนังสือเดินทางเป็นผู้ถูกดำเนินคดีอาญา หรือถูกออกหมายจับและ(3) ที่ระบุว่าบุคคลที่ศาล หรือเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องสั่งห้ามไม่ให้บุคคลใดเดินทางออกจากราชอาณาจักร ทางกระทรวงการต่างประเทศไม่ดูเลยหรือ ไม่มีหมวดไหนให้อำนาจรมว.กระทรวงต่างประเทศให้อำนาจออกหนังสือเดินทางได้เหมือนที่นายสุรพงษ์อ้าง
“การออกหนังสือเดินทางครั้งนี้ไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมแน่นอน และขัดต่อระเบียบของกระทรวงต่างประเทศ และ สิ่งที่พูดก็ไม่ถูกต้อง อยากถามต่อไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ออกมา ให้สัมภาษณ์ว่า มีแนวความคิดที่จะออกหนังสือแบบธรรมดาให้พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่. แต่ยังไม่ได้คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่หลั้งจากนั้น โฆษกกระทรวงต่างประเทศแถลงว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้ไปขอหนังสือเดนิทางเมื่อ25 ตค และออกให้เมื่อวันที่26 ตค นับจากวันที่ออกมาพูดจนถึงวันออกหนังสือเดินทางเป็นเวลาเดือนกว่า แต่มีคนใกล้ชิดพ.ต.ท.ทักษิณอีกคนบอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ทราบ แล้ววิญญาณใครไปขอหนังสือเดินทาง ทั้งที่โฆษกกระทรวงออกมาระบุว่าได้ทำตามนโยบายรัฐบาลชุดนี้ รู้อยู่แก่ใจว่าทำเสร็จและส่งไปให้แล้วทำไมไม่พูดความจริงกับคนไทยทั้งประเทศ และที่สำคัญ นายกฯออกมายืนยันเจตนารม ทำทุกอย่างยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ขอถามว่ารัฐบาลนี้มีนโยบายออกหนังสือเดินทางให้กับนักโทษหนีคดีทุกคนหรือไม่”
นายสุรพงษ์ ชี้แจงอีกครั้งว่า ที่หาว่าตนทำการเมืองเพื่อคนๆเดียว แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ตามล่าคนๆเดียวตลอดเวลา พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาใส่ร้ายมาตลอด กรณีอินเตอร์โพล ก็พยายามบิดเบือนว่ามีหมายจับหมายแดงพ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อตรวจสอบกับกระทรวงต่างประเทศและตำรวจพบว่าไม่เคยมีการออกหมายจับเลย และที่บอกว่าตนเอาบินไปมอบถึงดูไบเพื่อมอบให้พ.ต.ท.ทักษิณนั้นก็ไม่จริง ทางกระทรวงต่างประเทศรายงานมาว่าได้ส่งไปทางถุงเมล และตนไปทำหน้าที่เยี่ยมสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ที่อาบูดาบี้ และเชิญเขามาไทย โดยเขายังระบุว่าสองปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เปรียบเหมือนน้ำแข็งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
** ภาษาอังกฤษไม่กระดิกแต่เปิดด่านแม่สอดได้
“ แม้ผมจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่สามารถพูดกับ เมียนม่าให้เขาเปิดด่านแม่สอดที่ปิดไป 1 ปี 6 เดือนเศรษฐกิจเสียหายไปเท่าไหร่ ถึงจะไม่พูดฝรั่งปร๋อ ไม่ได้เรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก แต่สามารถพูดจนรัฐบาลเมียนม่า กัมพูชา ลาว และความสัมพันธ์ดีขึ้น เวลาไปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ต่างพูดว่ารัฐบาลที่แล้วไล่ตามล่าพ.ต.ท.ทักษิณจนทะเลาะเบาะแว้งกับเขาหมด ไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือ อยากให้เล่นการเมืองอย่างสร้างสรรประเทศจะได้เจริญ วันนี้มาพูดความจริงกัน”
นายสุรพงษ์ชี้แจงว่า ส่วนที่ถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณถูกออกหมายจับ ทำไมออกพาสปอร์ต ได้นั้น วันนี้กรมสนธิสัญญา ได้เตรียมข้อมูลมาให้ตอบเบื้องต้นกรณี พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายการจะปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางตามระเบียบ ข้อ 21(2) เมื่อได้รับแจ้งว่า ผู้ร้องที่ได้รับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่าอยตัวชั่วคราว หรือเป้นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ศาล หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะมีหมายจับในคดีต่างๆ แต่ศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้แจ้งให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง ซึ่งกระทรวงได้มีหนังสือสอบถามไปยังศาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับคำตอบมาโดยไม่ได้ชี้แจงเรื่องการให้ดำเนินการออกหนังสือเดินทาง(ศาลแจ้งให้กระทรวงต่างประเทศทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำพิพากษาในคดีต่างๆ ส่วนตำรวจแจ้งว่าเป็นการออกหมายจับ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณไม่ไปศาลตามนัด ไม่ใช่การออกหมายจับตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และไม่ทราบรายละเอียดและสถานะทางคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่สามารถให้ความเห้นต่อการยกเลิกหนังสือเดินทางได้)
ส่วนที่ถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีหมายจับสามารถถือหนังสือเดินทางได้หรือไม่ ขอตอบว่าการใช้ระเบียบข้อ 21(2) ต้องมีองค์ประกอบ2ข้อ คือ 1.มีหมายจับ และ2 ศาล พนังงานฝ่ายปกครองหรือตร เห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ ซึ่งในกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ กรมสนธิสัญญาได้พิจารณาอย่างรอบคอบเห้นว่ายังขาดองค์ประกอบข้อ2
*** ทำไมไม่อ้างข้อ 21 (3)
นายองอาจ กล่าวว่า หนังสือเดินทางออกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. รัฐบาลพยายามชี้แจงว่า การไม่มีหมายจับเพราะศาลและตำรวจไม่ได้สั่งนั้น เป็นการอ้างระเบียบข้อ21(2) แต่ทำไมไม่พูดถึง(3)ที่ระบุถึงการห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศ การระบุว่าศาลไม่มีอำนาจในการให้ข้อมูลเพื่อปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศต้องพิจารณา โดยเฉพาะระเบียบหมวดที่7 เรื่องการยับยั้งทำไมกรมสนธิสัญญาระบุแค่ (2) ไม่ระบุ(3) และถือเป็นการลากข้าราชการกรมสนธิสัญญาเข้ามารับผิดชอบกับเรื่องนี้อีกด้วย
นายองอาจยังตั้งคำถามไปถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เดนิทางไปร่วมหารือกับผู้นำลุ่มน้ำโขงที่ประเทศพม่า โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปปูทางเพื่อได้พบปะพูดคุยกับผู้นำรัฐบาลประเทศพม่า ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณมีความสัมพันธ์อันดีกับพม่าเรื่อยมา แต่ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างลูกชายของผู้นำพม่ากับอดีตผู้นำของไทย จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในพม่า ดังนั้นรัฐมนตรีมีอะไรยืนยันว่าการที่นายกฯเดินทางไปพม่าจะไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างครอบครัวของท่าน และอีกหลายครอบครัวในประเทศพม่า
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตนไม่ได้โยนความผิดไปให้ข้าราชการกรมสนธิสัญญา แต่เขาเขียนมาให้ตอบ โดยระบุว่าที่ไม่ใช้ระเบียบข้อ21(3) ในการปฏิเสธการออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณนั้นแต่ข้อเท็จจริงที่ศาลฏีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแจ้งมาว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 มีคำสั่งห้ามพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะไดรับอนุญาตจากศาล ต่อมาวันที่ 28 ก.ค.พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นคำร้องขอออกนอกราชอาณาจักรเพื่อไปประเทศญี่ปุ่นและจีน ซึ่งก็ศาลอนุญาต และให้กลับมารายงานตัว 11 ส.ค. 51 แต่เมื่อครอบกำหนดทนายจำเลยมาแจ้งว่า จำเลยยังไม่เดินทางกลับมา ศาลจึงออกหมายจับพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น จึงไม่น่าเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลหรือเจ้าหนักงาน สั่งห้ามไม่ให้พ.ต.ท.ทักิณเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ตามนัยยะ ข้อที่ 21(3)เนื่องจากศาลได้มีคำสั่งให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ชั่วคราว ประกอบกับพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว
ส่วนคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการเดินทางไปเยือนพม่าของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ประธานนาธิบดีเต็งเส่งมีความสนิทและชื่นชอบในตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่ไปเยือนก็จะพูดถึงแนวคิดของพ.ต.ท.ทักษิณคอยชี้นำให้กับรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการดูแลประชาชนให้มีงานทำ สร้างงานให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าไม่เคยลืม พอน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี และที่เดินทางไปก็ทำทุกอย่างเพื่อประเทศไทย พยายามจะไปลงนามข้อตกลงโครงการต่างๆที่เริ่มในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งซ่อมสะพานเนยวดี -แม่สอด สะพานเนยวดี-ตะนาวศรี
“ผิดกับรัฐบาลที่ผ่านมา ที่แม้จะพูดภาษาฝรั่งเก่งแต่ก็ไปทะเลาะกับประเทศต่างๆ อย่างกัมพูชาก็ไปตั้งท่าทะเลาะกับเขา แล้วความสัมพันธ์จะดีได้อย่างไร การที่บอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการต่างๆ เล่นการเมืองถูกต้องหรือไม่ คดีที่เกิดขึ้นกับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าเป็นท่านบ้างจะรู้สึกอย่างไร ตลอดชีวิตหาเงินมา4 หมื่นล้านกว่าจะได้มาก็ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่ได้โกงกินอย่างน้อยก้มีต้นทุน แต่ไปยึดของเขาหมดไม่ละอายใจบ้างหรือ อยากถามพวกท่านว่าหัวใจทำจากหินหรืออย่างไร” นายสุรพงษ์กล่าว
**ซัด "แม้ว" ชอบนำทาง
นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยอมรับว่าเป็นคนปูทางและประสานงานกับประเทศพม่าเช่น การได้พบกับออง ซาน ซูจี เลขาฯพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของพม่า ให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯในการเดินทางไปเยือนประเทสพม่าว่า ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1.เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เคยมีในลักษณะเฉพาะเช่น การปล่อยเงินกู้ให้กับพม่าผ่านธนาคารเอ็กซิมแบงก์ในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ 2.พม่าเป็นประเทศเปิดใหม่ในสถานการณ์ใหม่การไปของน.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องในการเปิดประเทศของพม่า แต่เหนืออื่นใดตนยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความเป็นเจ้าของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้พม่าเห็นยิ่งกว่าประเทศใดในโลก ถึงเดินนำหน้าออกไปอย่างนั้น และหลังจากนี้เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกทักท้วง ก็จะหยุดเดินหน้าแต่จะใช้วิธีอื่นเพราะไปแล้วถูกขุดคุ้ยในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และมั่นใจว่าประเทศต่อไปที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางไป จะเป็นประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่เคยไป
“บนเวทีสากลสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะฉะนั้นพาสปอร์ตไทยมีความหมายกับพ.ต.ท.ทักษิณ จริงๆ เพราะพาสปอร์ตไม่ใช่แค่เครื่องหมายเฉพาะการเดินทาง แต่พาสปอร์ตที่ยืนในทางการเมืองบนเวทีสากลต่างหากที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ และในที่สุดก็ได้ไปจริงๆ” นายชำนิกล่าวและว่าทั้งนี้ข้อดีก็คือ ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ มีทางเดิน ข้อเสียก็คือ อยู่ภายใต้อาณัติ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จึงทำให้ฐานะการเมืองในระดับสากลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เป็นไปตามนั้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะนำความกดดันมาสู่ตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้งสิ้น