xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลเล่นเกม “บิ๊กแบ็ก” เอาดีเข้าตัว - โยนขี้ใส่ กทม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทำไปทำมาเจ้า “บิ๊กแบ็ก” (BIG BAG) หรือกระสอบทรายยักษ์ ที่รัฐบาลภูมิอกภูมิใจนักหนาว่าจะเป็น “พระเอกตัวจริง” ในการปกป้องพื้นที่เมืองหลวง ฐานที่มั่นสุดท้ายก่อน “น้องน้ำ” จะหลากลงสู่ทะเล กลับ “แผลงฤทธิ์” ย้อนศรเข้าใส่รัฐบาลอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะการสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับชาวบ้านที่อยู่หลังแนวคันดังกล่าว จนเกิดเป็นกลุ่มมวลชนรวมตัวกดดันให้มีการรื้อเปิดช่องให้น้ำผ่าน ทั้งที่เป็นพื้นที่ฐานเสียงของพรรครัฐบาลเอง

ก่อนอื่นต้องยอมรับความจริงอยู่บ้างว่า นับถึงวันนี้สถานการณ์น้ำท่วมที่เข้าประชิดพื้นที่ กทม.ทุเลาเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ “ไข่แดง” ชั้นในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ต้องปกป้องไว้ยิ่งชีพ หลังปฏิบัติการ “บิ๊กแบ็ก” ที่วางตามแนวทางรถไฟใต้คลองรังสิตถึงเขตดอนเมืองยาว 6 กิโลเมตรเสร็จสิ้นลง ช่วยชะลอมวลน้ำ เปิดโอกาสให้ระบบระบายน้ำของ กทม.ทำงานเต็มที่

แต่อย่าลืมว่าประสิทธิภาพของ “บิ๊กแบ็ก” ที่แม้รัฐบาลโดยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. จะโอ้อวดราวกับเป็น “นวัตกรรมใหม่” ที่เพิ่งคิดค้นได้ในวิกฤตครั้งนี้ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าไม่ได้ต่างกับถุงทรายที่ประชาชนนำมาสร้างเป็นคันกั้นน้ำอยู่ตามบ้านเรือนทั่วไป เพราะสภาพความเป็นจริงของกระสอบทรายยักษ์นี้ ก็เป็นเพียงแค่ถุงขนาดใหญ่ที่บรรจุทราย หินคลุก และหินกรวดถุงเล็กๆไว้ภายใน เมื่อแช่อยู่กับน้ำตลอดเวลาก็เป็นธรรมดาที่จะทรุดลงเรื่อยๆ จนคาดว่าจะมีอายุการใช้งานเต็มที่แค่ 10 วันเท่านั้น และที่สำคัญถุงที่นำมาใช้นั้น เป็นถุงที่ออกแบบใช้บรรจุแป้งมัน และสามารถให้รับน้ำหนักเพียง 1,000 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน แต่กลับนำมาบรรจุหินและทรายกว่า 2 ตัน ซึ่งเกินน้ำหนักที่ถุงจะรับได้

ซึ่งต้องรอลุ้นต่อไปประสิทธิภาพจะเป็นไปอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อไว้หรือไม่

เพราะหากบิ๊กแบ็ก “เอาไม่อยู่” จริงดังคาด น้ำที่ถูกอั้นไว้หลังแนวก็พร้อมที่จะถาโถมเข้าใส่พื้นที่ กทม.ชั้นในอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ล่าถอยดูเชิงจากแยกสุทธิสารกลับไปที่ห้าแยกลาดพร้าวให้อุ่นใจช่วงเวลาหนึ่ง

ย้อนกลับไปดูถึงที่มาที่ไปของแนวคิดการสร้างคันกั้นน้ำโดยบิ๊กแบ็กนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ “น้ำเหนือ” ทะลักเข้าสู่เขต กทม.เต็มพื้นที่ของ ถ.วิภาวดีรังสิต และ ถ.พหลโยธิน จึงมีการเสนอไอเดียใช้บิ๊กแบ็กเพื่อกอบกู้สถานการณ์ฝั่งตะวันออกของ กทม. โดยเป็นความคิดริเริ่มของ “เจ้าพ่อสวนลุมไนท์บาซาร์” ไพโรจน์ ทุ่งทอง อดีต ส.ส.อุทัยธานี ซึ่งเป็นพี่ชาย “สิงห์ชัย ทุ่งทอง” ส.ว.อุทัยธานี คนปัจจุบันที่บทบาทในสภาสูงเอียงไปทางพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน

โดยไอเดียของ “ไพโรจน์” ได้รับการขยายความโดย “พิจิตต รัตตกุล” อดีตผู้ว่าฯ กทม.ที่วันนี้มาร่วมรับบทกุนซือใน ศปภ. จนมีโอกาสส่งต่อไอเดียบรรเจิดไปถึงวงประชุม ศปภ. และที่ประชุมมอบหมายให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงาน เพราะต้องใช้การขนส่งโดยรถไฟของ รฟท.เป็นหลัก ร่วมกับการประสานงานกับฝ่ายกองทัพ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นับจนบัดนี้ก็ยังไม่ปรากฎข้อมูลการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำบิ๊คแบ็คที่คาดว่าต้องใช้งบประมาณมหาศาลสำหรับถุงยักษ์จำนวนมาก แต่กลับเงียบจนผิดปกติ มีเพียงข่าวว่าวัดธรรมกาย ซึ่งได้ใช้นวัตกรรมบิ๊กแบ็กนี้ จนสามารถป้องกันพื้นที่ส่วนใหญ่ให้รอดพ้นจากภัยน้ำท่วมได้ และร่วมมอบบิ๊กแบ็กให้กับรัฐบาลหลายพันถุง

งบประมาณที่ใช้ในงวดนี้จึงยังไม่ชัดเจน แถมยังมีการเสนอให้นำไปใช้ในอีกหลายจุด จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นช่องทางทำมาหากินในระหว่างวิกฤตของนักการเมืองอีกหรือเปล่า

แต่ปัญหาที่หนักอกกว่านั้นของรัฐบาล คือ ความไม่พอใจของมวลชนต่อการมาของ “บิ๊กแบ็ก” ที่ทำให้ปริมาณน้ำใต้แนวลดน้ำ ก็แสดงว่าปริมาณน้ำเหนือแนวต้องเพิ่มขึ้น และไม่สามารถไหลออกได้โดยง่าย ซึ่งก็คือเขตชุมนที่อยู่อาศัยของประชาชนทั้งย่านดอนเมือง-รังสิต-เมืองเอก

จึงเกิดปรากฏการณ์ซ้ำรอย “คลองสามวาโมเดล” ที่มวลชนออกมาเรียกร้องให้ทำลายคันที่กั้นทำให้น้ำขังอยู่ในบ้านสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน จนพี่น้องชุมชนย่านดอนเมืองกว่า 20 ชุมชนต้องออกมารวมตัวกดดันรัฐบาล และแน่นอนว่าต้องมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังเช่นเดียวกัน ซึ่ง ศปภ.เองก็รู้ดีว่าเป็นเขตอิทธิพลของ เก่ง-การุณ โหสกุล ส.ส.คนดังของพรรคเพื่อไทย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ในฐานะ ผอ.ศปภ.จึงมอบหมายให้ “การุณ” เข้าเจรจากับชาวบ้าน

แต่เกมกลับพลิกเมื่อ “การุณ” ทูตสัมพันธไมตรีของรัฐบาล กลับเปลี่ยนใจและยอมรับข้อเสนอให้รื้อบิ๊กแบ็กในช่วงที่ชาวบ้านต้องการ แถมปรากฎออกรายการข่าวชื่อดังที่ออกอากาศตอนเย็นว่า หากรัฐบาลไม่รื้อจะเป็นคนนำชาวบ้านไปรื้อด้วยตัวเอง รวมทั้งขู่ที่จะปิดโทลล์เวย์อีกด้วยหากไม่ได้ตามที่ต้องการ

ทำเอาประชาชนที่ติดตามข่าวต่างงงไปตามๆ กัน เพราะก่อนหน้านั้นไม่นาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ย้ำเองว่า ไม่อนุญาตให้รื้อบิ๊กแบ็ก เพราะเกรงว่ากระแสน้ำจะตีกลับเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของ กทม.เช่นเดิม

กลายเป็นการทำงานแบบ “ปู-รณาการ” ที่ไม่ได้มีการประสานงานกัน แม้แต่พวกเดียวกัน

ข่าวลึกๆแจ้งว่า งานนี้ “ประชา” ถือหาง “การุณ” ที่จะตามใจชาวบ้าน เพราะไม่อยากที่จะขัดแย้งกับประชาชนอีก จนทำให้ “นายกฯปู” ไม่พอใจ ต้องสั่งการให้ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ประสานไปทาง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.ให้มารับ “เผือกร้อน” นี้แทน

กลายเป็นว่าเกมนี้ฝ่ายรัฐบาลกะกินนิ่ม “เล่นสองหน้า” บนความทุกข์ของชาวบ้าน

ด้านหนึ่งให้นายกฯ ปูทำขึงขังว่า อย่างไรก็ไม่ให้พังคันบิ๊กแบ็ก แสดงท่าทางห่วงใย “ชั้นใน” สุดขั้วหัวใจ

ขณะที่อีกด้านก็ให้ ส.ส.คนเก่งไปยืนเย้วๆอยู่ข้างชาวบ้านที่กำลังรื้อคันบิ๊กแบ็ก โดยมี ผอ.ศปภ.ให้ท้ายอยู่

เมื่อเกิดเรื่องก็พร้อมผลักภาระมาที่คนต่างพรรคอย่าง “สุขุมพันธุ์” ที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ และจำใจต้องเข้าไปดูแลสถานการณ์ หลังได้รับคำสั่งด่วนกลางดึกแบบหน้าชาๆ

จึงเห็นได้ว่ารัฐบาลเล่น “เกมบิ๊กแบ็ก” นี้แบบ “WIN-WIN” คือ ข้าชนะคนเดียว

พอสถานการณ์น้ำใน กทม.ดีขึ้น ก็เรียงหน้าสลอนออกมาป่าวประกาศว่า “บิ๊กแบ็ก” เป็นผลงานไอเดียสุดเจ๋งรัฐบาลรังสรรรค์ขึ้นเพื่อประชาชน

แต่พอไปสถานการณ์พาไปเหมือน “แหย่รังแตน” ให้ชาวบ้านแตกฮือออกมา ก็ถีบส่งผู้ว่าฯกทม.ไปเป็น “หนังหน้าไฟ” เล่นบทเจรจากับชาวบ้าน

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเล่น “บทนิ่ม” ปลอบประโลมยืนอยู่ข้างชาวบ้าน พร้อมออกมาตรการเยียวยาอย่างเต็มที่ แต่อีกด้านกลับเล่น “บทเข้ม” สั่งการผู้ว่าฯ กทม.ด้วยมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.บรรเทาสาธารณภัยฯ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็จะมีโทษตามมา เป็นเหตุให้ “คุณชาย” ต้องรีบบึ่งลงพื้นที่ พร้อมขอกำลังตำรวจคุ้มกันแบบเต็มพิกัดกันเลยทีเดียว

งานนี้แว่วมาอีกว่ารัฐบาลก็ยังมาเหนือเมฆเตรียม “ลูบหลัง” กทม. หลังจาก “ตบหัวทิ่ม” มาหลายหน โดยเบื้องต้นให้ กทม.เบิกจ่ายงบฉุกเฉิน 50 ล้านบาทเช่นเดียวกับจังหวัดที่ประสบภัยอื่นๆ แม้ว่า กทม.จะมีการปกครองในรูปแบบพิเศษก็ตาม แต่ตรงนี้ก็ถือเป็นเพียง “มัดจำ” ล่วงหน้าเท่านั้น

เพราะมีไฟเขียวเตรียม “ตบโบนัส” เป็นเงินกว่า 3 พันล้านบาท ในการฟื้นฟูเยียวยาเพิ่มเติมหลังน้ำลดอีกก้อนหนึ่งต่างหาก

ก็ไม่รู้ว่างบประมาณก้อนโตขนาดนี้จะเพียงพอที่ กทม.จะออกตัวเป็น “กันชน” ให้รัฐบาลได้อีกหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น