สมรภูมิน้ำที่เล่นกลศึกกับคนไทยยืดเยื้อยาวนานมากว่าสองเดือน การรุกคืบของน้ำเริ่มแผ่ขยายวงกว้างยึดครองพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งบุกเข้าประชิดผ่ากลางเมืองหลวงอันเป็นหัวใจของประเทศชาติ
ในขณะที่ประชาชนคนไทยทำได้แค่เพียงยกของขึ้นที่สูง กับอพยพไปตายเอาดาบหน้า เพราะข้อมูลสุดมั่วของ ศปภ.
ประกอบกับการสื่อสารของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ออกทีวีพูลแต่ละครั้งไม่เพียงแต่จะปลุกขวัญกำลังใจประชาชนไม่ได้แล้ว ยังทำให้ผู้คนอดสมเพชเวทนาไม่ได้ ที่ผู้นำของไทยเป็นเพียงแค่ “นายกรัฐมนตรีฝึกหัด”
สภาพบ้านเมืองจึงอลเวง โกลาหลมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่อารมณ์ของชาวบ้านก็เริ่มเดือดดาลเป็นทวีคูณ
จากสมรภูมิน้ำจึงยกระดับเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะถ้ารัฐบาลมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมชาติในยามวิกฤตย่อมเป็นโอกาสหลอมรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว
แต่รัฐบาลไพร่แดงกลับเลือกที่จะวิกฤตนี้สร้างความขัดแย้งมากขึ้นเพื่อกลบความล้มเหลวในการแก้ปัญหาที่ทำให้นิคมอุตสาหกรรมจมน้ำ 7 แห่ง น้ำท่วมกว่า 40 จังหวัด มีคนตายเกือบ 400 คน ประชาขนเดือดร้อนนับ 10 ล้านคน
แต่คนเป็นผู้นำมิได้อนาทรร้อนใจ เสื้อผ้าหน้าผมพร้อมสรรพ ไร้ซึ่งแววตาที่แสดงถึงความห่วงหาอาทรต่อประชาชนในปกครองที่กำลังลอยคอจมน้ำอย่างไร้ความหวัง
ในขณะที่ประชาชนต้องการความชัดเจนในการแก้ปัญหา ยิ่งลักษณ์กลับมองข้ามช็อต มุ่งแต่จะฟื้นฟูเยียวยาทึ้งงบประมาณเพียงอย่างเดียว เสมือนกับว่าตั้งใจปล่อยให้คนไทยจมน้ำ มีชีวิตอยู่อย่างอนาถาในสถานการณ์ที่ยากลำบากจนสุดทาง
แล้วค่อยพลิกบทบาทผู้กระชากประเทศสู่หายนะมาเป็นแม่พระโปรดสัตว์ผู้ยาก ผ่านเงินภาษีของประชาชนหลังน้ำลด จากอภิมหาโปรเจกต์ที่ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบ
ยามนี้เราจึงไม่ได้เห็นความพยายามในเชิงรุกของรัฐบาลที่จะคลี่คลายสถานการณ์ให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ในเร็ววัน มีแต่แสวงประโยชน์จากสถานการณ์ ปลุกระดมสร้างชุดความคิดใหม่ปกป้องตัวเอง สร้างฐานมวลชน ทำลายคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
เลวร้ายกว่านั้นคือ คนเป็นผู้นำยังตัดสินใจแก้ปัญหาโดยยึดผลประโยชน์ทางการเมืองมาก่อนประโยชน์ชาติ และประชาชน เห็นได้จากล่าสุดทีื่ ยิ่งลักษณ์ ลงนามสั่งการให้ กทม.เปิดประตูระบายน้ำคลองสามวา 100 เซนติเมตร ตามการกดดันของมวลชนที่มีนักการเมืองพรรคเพื่อไทยหนุนหลัง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าการกระทำดังกล่าวเท่ากับการเปิดน้ำให่ไหลบ่าเข้าท่วม กทม.ชั้นใน
แต่ ยิ่งลักษณ์ ก็เลือดเย็นและอำมหิตมากพอที่จะเลือกรักษาฐานเสียงของพรรคตัวเองเอาไว้ กทม.ส่วนใหญ่ฉิบหายช่างหัวมัน
ตลกร้ายสำหรับประเทศไทย คือ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นคนลงนามสั่งการให้เปิดประตูระบายน้ำ 100 เซนติเมตร กลับตอบคำถามนักข่าวไม่ได้เมื่อโดนไล่บี้ถาม กระทั่งออกอาการสติแตกใส่อารมณ์เดินหนีนักข่าว
น่ารังเกียจไปกว่านั้น คือ เมื่อตัวเองเป็นคนผูกทำให้เกิดปมปัญหาที่จะกระทบพื้นที่ กทม.เกือบทั้งหมด กลับไม่มีการแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำประเทศเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ด้วยตัวเอง กลับตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ดึงเอา กทม.มาติดร่างแหตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวกับกรรมที่ไม่ได้ก่อ ขณะที่คนทิ้งของสกปรกสะบัดตูดหลบฉากไปดื้อๆ
ความจริงปัญหาเกี่ยวกับการพังพนังกัเนน้ำ หรือการต่อต้านการเปิดปิดประตูระบายน้ำตามจุดสำคัญต่างๆ ไม่ใช่เรื่องทีิ่่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ระบบการระบายน้ำของกรมชลประทานและ กทม.ไม่มีประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลไม่เคยคิดจะแก้ไขอย่างจริงจังทั้ง ๆ ที่ยิ่งลักษณ์ ควรจะได้วางแผนกำหนดจุดให้ชัดเจนว่า พื้นที่ใดบ้างอยู่ในจุดที่อยู่ใกล้ ประตูน้ำ ซึ่งจะต้องเสียสละรับน้ำเพื่อรักษาภาพรวมในการบริหารน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และต้องมีมาตรการเยียวยาเป็นการเฉพาะที่จะดูแลชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งในระหว่างน้ำขึ้นที่เขาไม่สามารถใช้ชีวิตในบ้านเรือนของตัวเองได้ รวมทั้งการชดเชยหลังน้ำลดว่าภาครัฐจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร
เรื่องง่ายๆ อย่างนี้ ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลกลับไม่ทำ จนเหตุการณ์บานปลายลุกลามกินพื้นที่อื่นเป็นวงกว้างมากขึ้น ทำให้กฎหมายไม่มีสภาพบังคับใช้
รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงกลายเป็นรัฐล้มเหลว เพราะพลังน้ำและความอ่อนด้อยในการบริหารประเทศไปโดยปริยาย
การเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวาเพื่อรักษาฐานเสียงเพียงส่วนเดียว อาจส่งผลกระทบกว้างไกลเกินกว่าสายตาปูแดงจะมองเห็น เพราะหากปล่อยให้น้ำเดินตามเส้นทางนี้ไม่เพียง กทม.ชั้นในจะอ่วมอรทัยเท่านั้น แต่อีก 4 นิคมอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก 917 โรงงาน
รวมทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ย่อมมีสิทธิ์จมน้ำด้วยเช่นเดียวกัน