xs
xsm
sm
md
lg

“แม้ว” ตื่นแก้พรบ.กลาโหมสะท้อนสถานะ“น้องปู”ปริ่มน้ำ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ความรู้สึกของชาวบ้านส่วนใหญ่ที่สะท้อนออกมาว่า มาตรการในการแก้ปัญหา รวมทั้งมาตรการในการเยียวยาบรรเทาปัญหาวิกฤติน้ำท่วมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน สร้างความตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา สรุปสั้นๆก็คือ “ห่วยแตก” นั่นแหละ

เวลานี้การสั่งการและการให้ข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)ของรัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง เป็นเพราะที่ผ่านมาการให้ข้อมูลการแถลงข่าว ขาดข้อมูล ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงอยู่ตลอดเวลา

แม้ทุกฝ่ายยอมรับตรงกันว่าอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อน เพราะปริมาณน้ำมีจำนวนมหาศาล เจอทั้งพายุต่อเนื่องซ้ำเติมเข้ามาสองสามลูกติดๆกัน ทำให้ฝนตกเหนือเขื่อนใหญ่ เกิดปริมาณน้ำสะสมอยู่เต็มทุกเขื่อน ตั้งแต่ภาคเหนือตอนบนไล่ลงมาจนถึงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคอีสาน และกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับความจริงที่เลวร้ายนี้ ไม่มีใครเถียงเป็นอันขาด

แต่คำถามก็คือปัญหาเรื่องปริมาณน้ำดังกล่าว มันไม่ใช่ไหลทะลักลงมาแบบปัจจุบันทันด่วนเหมือน “รถบรรทุกแก๊ส”พุ่งชนสะพานลอย เนื่องจากต้องใช้เวลาในการไหลลงมาสู่พื้นที่ด้านล่างนานนับเดือน ยังพอมีเวลาในการเตรียมการรับมือ โดยเฉพาะมาตรการสำหรับการ “บรรเทาปัญหา” จากหนักให้เป็นเบา แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่หากผู้นำมีประสิทธิภาพ มี “ภาวะผู้นำ” มากกว่านี้ ความสับสน ความโกลาหล รวมไปถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหา ซึ่งก็ย่อมหมายรวมถึงความเสียหายทางด้านทรัพย์สินทั้งของชาวบ้านระดับยาจกขึ้นไปจนถึงนักลงทุนทั้งภายในและข้ามชาติอ่วมกันไปตามๆกัน

ความรู้สึกตรงกันว่านายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขาดความรู้ ขาดความพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ปกติหรือภาวะวิกฤติ

ความรู้สึกดังกล่าวไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะภายในประเทศ แต่ในสายตาของสื่อต่างประเทศอย่าง วอลสตรีทเจอนัล ที่รายงานอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์ชาวต่างชาติก็ออกมาในโทนเดียวกัน มันก็ยิ่งเสียเครดิตเข้าไปอีก

ดังนั้นเมื่อผลออกมาอย่างที่เห็น มันก็ทำให้คนไทยยิ่งใจแป้ว ไม่เว้นแม้แต่คนเสื้อแดงที่เคยตามแห่เชียร์กันมาตั้งแต่ต้นเวลานี้ก็เริ่มเงียบเสียงน้ำท่วมปาก เพราะต้องไม่ลืมว่าขนาดน้ำยังไม่ลดยังวิกฤติยืดเยื้อได้ขนาดนี้ หลังน้ำลดมันจะสาหัสขนาดไหน เพราะถึงตอนนั้นจะต้องเจอกับภาวะว่างงานหลายแสนคน จากกรณีที่โรงงานอุตสาหกรรมถูกน้ำท่วมเสียหาน ซึ่งต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานหลายเดือน ภาวะข้าวของแพง การปล้นสะดมภ์จะต้องเกิดขึ้นมากมาย

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากพื้นที่ไร่นาที่ถูกน้ำท่วมสร้างความเสียหายกว่า 10 ล้านไร่ มันก็ยิ่งซ้ำเติมความเดือดร้อนเข้ามาอีกหลายเท่า นี่คือความจริงอันน่าเจ็บปวดที่กำลังเกิดขึ้นประดังเข้ามา

เมื่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ลดลงฮวบฮาบ ซึ่งมั่นก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสถานะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งภาพลักษณ์ที่เป็นบวกเกิดความประทับใจในสายตาชาวบ้านทั่วไปก็คือ การทำงานอย่างเสียสละของ “ทหาร” บรรยากาศกลายเป็นตรงกันข้าม

เมื่อสถานการณ์เริ่มถดถอยเกินความคาดหมายแบบนี้ มันก็ต้องแก้เกมใหม่ ซึ่งนาทีนี้สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องปรับกลยุทธิ์อย่างฉุกละหุกเช่นเดียวกัน เพราะอ่านออกแล้วว่าหากยังเป็นแบบนี้ เกรงว่า “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ จะทนเสียงด่าจากชาวบ้านรอบข้างไม่ไหวจนต้อง “ร้องกรี๊ด” เตลิดเปิดเปิงออกไปเสียก่อน ดังนั้นสิ่งที่เห็นก็คือสั่งให้เร่งเดินเกมรุกทันทีเหมือนกัน

ล่าสุดการออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียเมื่อสองสามวันก่อน พุ่งเป้าโจมตีไปที่กองทัพ ส่งสัญญาณให้เร่งแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองเข้าไปล้วงลูกการโยกย้ายนายทหารได้สะดวก ขณะเดียวกันก็กล่าวหาว่ากองทัพเป็นอุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตย และผู้นำเสพติดอำนาจ อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากอารมณ์ของคนไทยยามนี้นับว่าผิดแผกออกไปนั่นคือเห็นใจทหารมากกว่ารัฐบาล ดังนั้นคำพูดของทักษิณจึงไม่น่าเป็นผลบวก แต่ถ้าเดาความหมายของเขาก็คงต้องการสื่อสารไปยังนานาชาติมากกว่าโดยเฉพาะการเน้นย้ำในเรื่องการรัฐประหาร ซึ่งฝรั่งส่วนใหญ่จะรังเกียจ ความหมายก็คือต้องการ “บล็อก” ไม่ให้ขยับ เพราะรู้ดีว่าเสถียรภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะซวนเซลงไปเรื่อยๆ

คนอย่างทักษิณ ย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติคราวนี้เหนือความคาดหมาย ไม่อาจสร้างภาพทางการตลาดตบตาได้อีกต่อไป และในอนาคตก็ยิ่งเลวร้ายสารพัดปัญหาจะถาโถมเข้ามาหลังน้ำลด ดังนั้นการส่งสัญญาณรุกเข้ามาในกองทัพโดยการแก้ พรบ.กลาโหมเพื่อรีบทำลายปราการด่านสุดท้ายที่ยังเหลือ โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาลากไป ประสานกับการส่งเสียงโวยวายในต่างประเทศเพื่อสร้างกระแสรัฐประหารในทางลบ แม้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นความเสี่ยงสวนทางต่อความรู้สึกของคนไทยที่กำลังชุลมุนเดือดร้อนอยู่กับเรื่องน้ำท่วม แต่เพื่อความมั่นคงส่วนตัวและการรักษาอำนาจของครอบครัวเอาไว้ต่อไป มันก็ต้องทำ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น