ผ่าประเด็นร้อน
ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดฉุกเฉินแบบนี้ อาจไม่สมควรนักที่จะจะมาพูดกันแบบนี้ เพราะเหมือนกับเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้าย เพิ่มความเครียดขึ้นไปอีก แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ จำเป็นต้องกระชากอารมณ์เอากันให้สุดๆ ทีเดียวไปเลย ประเภทไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว
บางครั้งสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ วีรสตรี เพราะเมื่อพิจารณาย้อนดูจากหลายเหตุการณ์เราก็จะได้เห็น “ฮีโร่” เกิดขึ้นมาได้อย่างไม่คาดหมาย ทั้งที่ไม่เคยเห็นวี่แววมาก่อนด้วยซ้ำไป แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นกลับแสดงออกได้อย่างน่าชื่นชมก็มีให้เห็นมากมาย
แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นยามนี้ย่อมไม่ใช่หมายถึงนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างแน่นอน เพราะความเสียหายมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นจากปัญหาน้ำท่วม ส่วนสำคัญที่สุดมาจากความไม่รู้ ความไร้เดียงสา ซึ่งเกิดจากความ “กลวง” ของเธอนั่นเอง
อีกด้านหนึ่งหากจะกล่าวโทษเธอเพียงคนเดียวก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก แต่ต้องตำหนิคนที่อยู่เบื้องหลัง นั่นคือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ผลักดันเข้ามาสู่การเมือง โดยอาศัยช่องทาง “การตลาด” ที่ตัวเองมีความถนัด โดยสร้างกระแส “ผู้นำหญิงคนแรก” บวกกับกระแสของตัวเองเป็นสองแรงบวก ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ใช้เวลาเพียง 49 วัน สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศท่ามกลางเสียงชื่นชมยินดีอย่างล้นหลาม
หากเป็น “สถานการณ์ปกติ” คงต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกนาน แต่บังเอิญว่าโชคไม่เข้าข้าง กลับต้องมาเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ไม่คาดหมาย อย่างปัญหาน้ำท่วมที่กำลังถล่มเข้ามาแบบไม่ยั้งและยืดเยื้ออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้การ “กลบเกลื่อนปัญญา” โดยใช้ช่องทางการโฆษณาชวนเชื่อสร้างกระแสแบบเดิมทำไม่ได้ เพราะ “ความจริง” ความเสียหายที่เห็นอยู่ตำตามันประจานให้เห็นอยู่ทุกวัน
แน่นอนว่า นายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ การผันน้ำหรือผลักดันน้ำ แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีภาวะผู้นำ สามารถใช้คนให้ถูกกับงาน ต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ แต่นี่กลายเป็นว่าทุกอย่างปล่อยไปตามยถากรรม ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างพูด ไร้เอกภาพ ไม่มีใครที่มีอำนาจเด็ดขาด
เห็นได้จากการตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ไม่รู้ว่าใครกันแน่เป็นผู้ที่มีอำนาจสั่งการสูงสุด จนกระทั่งผ่านเหตุการณ์สับสนมาหลายครั้งถึงเพิ่งจะได้รู้ว่ามีการมอบหมายให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นหัวหน้าศูนย์ แต่เอาเข้าจริงบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสับสนทั้งในระดับเจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่ได้ฟังการให้สัมภาษณ์จาก ทั้ง พล.ต.อ.ประชาเอง และโฆษกของศูนย์ดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องของการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงในสถานการณ์น้ำท่วม จนขาดความน่าเชื่อถือ
ความเสียหายบานปลายที่เกิดขึ้นมากมายสุดคณานัปเกิดขึ้นเพราะความไร้ความสามารถของผู้นำเป็นหลัก แม้ยอมรับว่าภัยธรรมชาติคราวนี้มันใหญ่หลวงก็จริง แต่ปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำหลาก มันมีสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า โดยเฉพาะน้ำจากทางเหนือลงมา ระดับน้ำฝน พายุ ระดับน้ำในเขื่อน ย่อมมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะคิดคำนวณกันได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะ “ดูเบา” ไม่ได้ใส่ใจแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ หรือมีการเตรียมการรับมืออย่างจริงจังตั้งแต่ต้น คิดแต่เพียงใช้วิธีการทางตลาดสร้างภาพ หากจำกันได้ก็มี “บางระกำโมเดล” ถัดมาก็มี “อุดรโมเดล” แล้วเป็นไงคนบางระกำที่พิษณุโลก ก็ยังระกำช้ำใจแช่น้ำอยู่จนถึงบัดนี้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างภาพลบอย่างแรงให้กับ พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะทำให้ได้เห็นถึงฝีมือการบริหารในสถานการณ์ทั้งปกติและฉุกเฉินว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความกังวลให้เกิดขึ้นต่อไปอีก เพราะในอนาคตหลังน้ำลดก็จะยิ่งเกิดวิกฤติหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าปัจจุบันอีกหลายเท่า
เพราะต้องไม่ลืมว่า ปีนี้น้ำท่วมขังนานแบบยืดเยื้อ ไล่ลงมาตั้งแต่ภาคเหนือ กลาง อีสาน และเวลานี้กำลังจ่อทะลักเข้ากรุงเทพมหานครอยู่แล้ว สร้างความเสียหายพินาศตามรายทาง ทั้งท้องทุ่งไร่นา บ้านช่อง โรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ คนจนคนรวยมีผลกระทบกันถ้วนหน้า เพียงแต่ว่าคนรวยจะเดือดร้อนน้อยกว่า เนื่องจากยังมีหนทางออกเหลืออยู่บ้าง แต่สรุปก็คืออ่วมกันหมด
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ วิกฤตหลังน้ำลด เพราะถึงเวลานั้นจะมีปัญหาประดังเข้ามามากมาย ทั้งในเรื่องข้าวยากหมากแพง ว่างงาน ปล้มสะดม ขณะที่ปัญหาภายนอกก็ทับซ้อนเข้ามานั่นคือวิกฤตในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่เคยเป็นตลาดส่งออกสำคัญ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยแต่ละปีมหาศาล แต่เมื่อเขาเดี้ยงแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อสินค้า มาเที่ยวบ้านเรา
พิจารณาจากภาพรวมแล้ว แม้ว่าปัจจุบันปัญหาจะหนักหนาสาหัส แต่เมื่อเฝ้ามองการบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วทำให้พอหลับตามองเห็นภาพในอนาคตได้ดีว่าจะเลวร้ายเพียงใด เพราะถ้าตอนนี้สาหัสอีกไม่นานก็จะหนักกว่าหลายเท่า!!