xs
xsm
sm
md
lg

สงสัย(มั้ย?)ธรรมะ ในวันไปเวียนเทียน/ไก่อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

ว่ากันว่า คนเราโดยส่วนใหญ่เวลาที่ทำหรือเกิดอะไรที่ "พลาด" ขึ้นมาแล้ว เราก็มักจะมองหา "ตัวช่วย" มาแบ่งเบาความรู้สึก "ผิด" ของตนอยู่เสมอ

เช่น นักบอลทีมชาติชาติหนึ่ง เวลาไปเล่นเมืองหนาวแล้วแพ้เขา ก็ให้เหตุผลว่าอากาศหนาวทำให้วิ่งไม่ออก พอไปเล่นเมืองร้อนแล้วแพ้เขา ก็โทษว่าหมดแรงเพราะอากาศร้อน แข่งกับคนตัวใหญ่ก็บอกว่าเสียเปรียบเรื่องรูปร่าง พอแข่งกับคนตัวเล็กกว่าก็ยังเสียเปรียบความคล่องกว่าของอีกฝ่าย ฯลฯ

เข้าทำนองสุภาษิตไทยที่ว่า รำไม่ดีโทษปีโทษกลอง

แม้กระทั่งกับเรื่องที่เหนือการควบคุม ไม่รู้จะโทษอะไรแล้ว เราก็ยังยกความผิดส่วนหนึ่งไปให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นที่เรียกว่า "ดวง" เข้าจนได้

ก็ด้วยความที่เจ้า "ดวง" (ย้ำนะครับว่าดวงเฉยๆ ดวงไม่มีอะไรต่อเสริมเติมท้าย อันอาจจะทำให้ความหมายแปรเปลี่ยนไปเป็นชื่อของบุคคลคนหนึ่ง) เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนี่แหละครับ เพราะฉะนั้นเรื่องของดวง เรื่องของโชค เรื่องของเคราะห์ จึงเป็นเรื่องที่เข้าทำนอง...ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

ซึ่งในความเป็นจริง มันอาจจะไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้

ทำเป็นปากดีไป ผมเองก็เป็นคนประเภทนั้นเหมือนกันครับ 555

หลังประสบอุบัติเหตุจนทำให้แขน-ขาเดี้ยงนานร่วมเดือน ยังไม่ทันจะหายดี ลูกพี่ลูกน้องก็มาจมน้ำตาย พร้อมๆ กับรับทราบข่าวเรื่องวุ่นๆ ที่เกี่ยวกับข้อเขียนผ่านคอลัมน์นี้ชิ้นหนึ่งซึ่งมีผู้ยื่นเอาเรื่องทางกฏหมาย ทั้งหลายทั้งปวงผมจึงสรุปฟันธงว่า เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นติดๆ กันนั้นเป็นเพราะ...ช่วงนี้ผมดวงไม่ดี

ทั้งที่ในความเป็นจริงหากพิจารณามองดู "การเกิด" ของแต่ละเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่มี "ที่มา" ทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุที่มาจากการไม่ได้สติของตัวผมเอง, ลูกพี่ลูกน้องที่จมน้ำตายก็เพราะเจ้าตัวว่ายน้ำไม่แข็งประกอบกับมีโรคเกี่ยวกับอาการทางสมองอยู่ ส่วนปัญหาเรื่องงานก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติในการเขียนที่จะต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ หรือแม้กระทั่งเรื่องของอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ทั้งปวดท้อง เป็นไข้ ก็เพราะการขาดความเอาใจใส่ดูแลสุขภาพร่างกายตนเองนั่นเอง

แต่เอาเถอะ เมื่อตัดใจโยนบาปส่วนหนึ่งไปที่เรื่องของดวงแล้ว มันก็ต้องหาทางแก้ไขกัน

คลาสสิกที่สุดก็คือการทำบุญ

ด้วยเหตุผลที่ว่า ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 15 เดือน 7 (กรกฎาคม) ตามปฏิทินสากลอันเป็นวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา ผมเลยตัดสินใจไป "เวียนเทียน" ที่วัดดุสิตารามฯ บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าหลังว่างเว้นจากการประกอบกิจกรรมที่ว่านี้มานานหลายปี

ไปถึงวัดราวๆ 18.30 น. บริจาคค่าดอกไม้ธูปเทียน 20 บาท จากนั้นจึงนั่งรอเวลาซึ่งทางวัดพิมพ์กำหนดไว้บนป้ายโฆษณาเชิญชวนพุทธศาสนิกชนมาร่วมทำบุญเวียนเทียนเวลาสิบเก้านาฬิกาตรง

แรกๆ ก็เพลิดเพลินดีหรอกครับกับการนั่งฟังบทสวดต่างๆ พร้อมกับคำแปลถึงความหมาย แต่พอเวลาผ่านไปนานร่วมชั่วโมงโดยยังไม่มีวี่แววว่ากิจกรรมเวียนเทียนจะเริ่มสักที อาการเมื่อยก็ถามหา พร้อมกับมีเสียงบ่นดังแว่วออกมาจากคนรอบๆ ข้าง

เท่าที่สังเกต แม้ทุกคนจะมาเพื่อ "เวียนเทียน" กันก็จริงๆ แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจนั้นจะค่อนข้างเข้มข้นแตกต่างกันพอสมควร เอากันตั้งแต่เข้มมากๆ ก็คือผู้ที่นุ่งขาวห่มขาว(ส่วนใหญ่จะเป็นสุภาพสตรี)ที่จะต้องมาสวดมนต์ถือศีลภาวนาทั้งก่อนและหลังพิธีเวียนเทียน, เข้มจางไปหน่อยก็คือคนที่ตั้งใจมาเวียนเทียนจริงๆ ตามประเพณีแต่ก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับกิจกรรมอย่างอื่น และเข้มจางลงไปอีกก็คือพวกที่มาด้วยเหตุผลอื่นประกอบ เช่น บางคนมาเพราะต้องการหากิจกรรมทำกับแฟน บางคนมาเพราะครอบครัว-ผู้ใหญ่ชวน+บังคับมา ฯ

"ปีหน้ามาตอนสองทุ่มเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลารอนั่งรอให้เมื่อย" เด็กสาววัยอายุราวๆ 15-16 บอกพลางพยุงยายซึ่งขาไม่ค่อยจะดีให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเตรียมจุดธูปเทียนทำพิธีเวียนเทียนในช่วงเวลาสองทุ่มกว่าๆ

ระหว่างเดินวนรอบโบสถ์ มาลองคิดๆ ดู ตลอดช่วงระยะเวลาที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มาหลายปีผมคงจะบาปหนาน่าดู เพราะที่ผ่านมานอกจากการกระทำที่ดูเหมือนจะแสดงความเคารพด้วยการยกมือไหว้ท่วมหัวในตอนเช้าแล้ว ผมเองไม่เคยทำอะไรเพื่อเป็นการ "ตอบแทน" ให้กับทางวัดเลยทั้งๆ ที่ใช้บริเวณพื้นที่ของวัดเป็นทางเดินเหยียบย่ำสัญจรผ่านไปผ่านมา โดยคงจะมีทราย มีดินของวัดติดรองเท้าออกมาอย่างไม่ตั้งใจเยอะพอสมควร

หนำซ้ำ เวลาเดินกลับหอฯ ยามดึกดื่นเที่ยงคืนในหลายๆ ครั้งจนทำให้บรรดาสุนัขพากันเห่าหอนกันให้ระงมนั้นก็คงจะไปรบกวนการจำวัดของพระท่านอีกต่างหาก (ครั้งหนึ่ง มีถังน้ำลอยข้ามหัวผมไปพร้อมๆ กับเสียงตะโกนออกมาว่า...มึงจะเห่าอะไรนักหนา!)

คิดได้ดังนั้น หลังเวียนเทียนเสร็จ ผมก็เลยบริจาคค่ากระเบื้องมุงหลังคาให้กับวัดไปอีก 20 บาท

กลับมาถึงหอพัก แม้จะรู้สึกสบายใจขึ้น แต่กระนั้นในใจก็อดสงสัยไม่ได้ครับจริงๆ ว่าแล้วสิ่งที่ผมกระทำไป รวมถึงเงินบริจาคที่น้อยนิดนั้นมันจะก่อให้เกิดผลบุญกับตัวผมเองจริงหรือ? มากน้อยเพียงใด? รวมไปถึงข้อสงสัยที่ว่าเรื่องของ "บุญ" นั้น เราสามารถเผื่อแผ่เมตตาให้กับคนอื่นได้ด้วยหรือ?

พลันก็นึกถึงหนังสือ(การ์ตูน)เล่มหนึ่งที่สำนักพิมพ์ A THINK BOOK ส่งมาให้อ่าน(นานแล้ว) ชื่อว่า "สงสัยมั้ย?ธรรมะ" เรื่องโดย "ชยจิต" ส่วนภาพประกอบนั้นวาดโดย "เดอะดวง" (วีระชัย ดวงพลา) นักเขียนการ์ตูนหนุ่มชื่อดังที่เชื่อว่าถึงตอนนี้หลายคนคงจะคุ้นเคยกับลายเส้นของเขาเป็นอย่างดี

การ์ตูนเล่มนี้มี "ประเด็นธรรม" ที่น่าสนใจมากมายครับ ทั้ง เรื่องที่ว่าทำไมเดี๋ยวนี้คนเราจึงลงทุนทำบุญมาก แต่กลับได้ผลบุญน้อยนิด เรื่องของการทำทาน เรื่องของศีล การภาวนา รวมถึงคำตอบที่ว่าการทำบุญแบบไหนกันแน่จึงจะได้ผลบุญที่สูงสุด โดยทั้งหมดนั้นสามารถอ่านเข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านตัวละครจอมปุจฉาที่ชื่อ "ขอบฟ้า" และวิสัชนาโดยหลวงพ่อรูปหนึ่ง

ว่าแล้วก็เลยหยิบ "สงสัยมั้ย?ธรรมะ" ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

ไม่บอกหรอกครับว่าผมได้คำตอบจากหนังสือเล่มนี้ในสิ่งที่สงสัยหรือไม่?

แต่อยากจะบอกว่า ใจเราก็เหมือนกับกระจกนั่นแหละครับ หากเรายิ่งหมั่นขัดเกลาเท่าไหร่ มันก็ย่อมที่จะยิ่งใส ยิ่งเงางามเท่านั้น

ไม่อายเลยที่จะบอกว่าประโยคข้างบนนี้ จำคำคนอื่นเขามาครับ 555
กำลังโหลดความคิดเห็น