ต้องบอกว่าสถานการณ์เท่าที่เป็นอยู่ถือว่าวิกฤตเกินบรรยายแล้ว ภาพปรากฎทางโทรทัศน์ที่ได้เห็นคนแก่ คนท้องแก่ติดค้างอยู่ภายในบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำทะลักเข้ามาสูงขึ้นทุกนาที ได้เห็นสายตาแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวล สิ้นหวังของชาวบ้านที่ได้เห็นข้าวของ บ้านเรือนเสียหายไปต่อหน้า ได้เห็นการอพยพในสภาพ “โกลาหล” เสียงตะโกนโหวกเหวกเพื่อหนีเอาชีวิตรอด มันชวนให้รันทดหดหู่จริงๆ
นาทีนี้ต้องบอกว่าสภาพน้ำท่วมในหลายพื้นที่เข้าสู่ระดับที่เรียกว่า “เหนือการควบคุม” แล้ว โดยเฉพาะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำทะลักเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจชั้นใน ยังเหลือพื้นที่ที่เป็นที่สูงไม่มากนักอยู่พ้นน้ำแต่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะล่าสุดระดับน้ำจากแม่น้ำที่อยู่โดยรอบกำลังสมทบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะมาถึงและกำลังลุกลามไปถึงจังหวัดสระบุรีแล้ว
ลองหลับตานึกภาพเอาเองก็แล้วกันว่ามันจะเพิ่มความเสียหาย เพิ่มความเดือดร้อนกันอีกมากแค่ไหน
สำหรับปีนี้ในพื้นที่เศรษฐกิจได้รับความเสียหายมากเป็นวงกว้าง ทั้งที่ จังหวัดนครสวรรค์ลงมาถึงกำแพงเพชร พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี เป็นต้น โดยเฉพาะที่อยุธยาปริมาณมูลค่าความเสียหายได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากน้ำเข้าท่วมพื้นที่นิคมอุสาหกรรม เช่นที่ “สหรัตนนคร” ทำให้เครื่องจักร สินค้าที่ผลิตสำเร็จรอส่งออกมาจำหน่ายได้รับความเสียหายแทบทั้งหมด เบื้องต้นคิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำว่า 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับเรื่องคนงานจะต้องตกงาน ขาดรายได้อีกนับหมื่นคน
ขณะเดียวกัน กำลังลุ้นกันอยู่ว่านิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง คือ โรจนะ รวมไปถึงนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค น้ำจะท่วมหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทำให้เวลานี้ต้องปิดนิคมอุตสาหกรรมโรจนะเป็นการชั่วคราวเอาไว้ก่อน ซึ่งก็ย่อมหมายถึงการสูญเสียรายได้ คนงานต้องตกงานทันทีอีกไม่รู้เท่าไร หากคิดรายได้เป็นรายวัน
ด้วยปริมาณจำนวนมหาศาลดังกล่าวที่กำลังรวมศูนย์ลงมาเป็นจุดเดียวกำลังทะลักเข้ามาถึงพื้นที่ตอนล่างลงมาอีก ตั้งแต่ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร มันจะเป็นอย่างไร แม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้บริหารทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะยืนยันหนักแน่นว่า “เอาอยู่” รับมือได้ รวมไปถึงฝ่ายรัฐบาลโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็บอกทำนองเดียวกันหลังจากร่วมประชุมเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นว่าเริ่ม “ไม่แน่ใจ” โดยเฉพาะนายกฯยิ่งลักษณ์ ถึงกับกล่าวว่า “เริ่มวิตกกังวล” แล้ว มันก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านได้ยินแล้ว “ใจแป้ว” ประกอบกับเมื่อได้เห็นผลงานของทางการในการเตรียมการรับมือ และการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินเป็นรายจังหวัดแล้ว หวังพึ่งไม่ได้เลย เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่ชาวบ้านจะช่วยเหลือตัวเอง หรือเป็นการช่วยเหลือจากองค์กรภาคเอกชนเสียเป็นส่วนใหญ่
ภาพของนายกรัฐมนตรีโดยรวมแล้ว “ไม่ได้มีภาวะผู้นำ” ไม่ได้มีไอเดียที่เข้าท่าในการนำแก้ปัญหา มันก็ยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่น ลักษณะต่างคนต่างทำ ไม่ได้ “บูรณาการ” อย่างที่ชอบพูดกันให้สวยหรู
อย่างไรก็ดีเมื่อต้องมองไปข้างหน้า พิจารณาถึงแนวโน้มปัญหาที่จะตามมาหลังจากน้ำลด หรือหากน้ำยังลดช้า ยืดเยื้อออกไปอีกนานนับเดือน
อย่างที่รับรู้กันไปแล้วว่า ปริมาณน้ำมีจำนวนมากกว่าปกติทำให้น้ำท่วมขยายวงกว้าง ทำให้นาข้าวของเกษตรกรเสียหายจนมีการคาดการณ์ในเบื้องต้นว่าจะทำให้ชาวนาต้องสูญเสียข้าวเปลือกไม่น้อยกว่า 5 ล้านตัน โอกาสที่จะมีรายได้จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลก็หมดไปทันที เนื่องจากไม่มีข้าวเหลืออยู่ในมือแล้ว
ขณะเดียวกัน ยิ่งน้ำท่วมขังนานเท่าไร มันก็ยิ่งเพิ่มความเสียหาย โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจชั้นใน เขตอุตสาหกรรมสำคัญ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ล่าสุด ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าภัยพิบัติดังกล่าวจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ทำให้ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ต้องลดลงไม่น้อยกว่า 1-1.3 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งท่วมขังนานมากขึ้นความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
นี่ว่ากันเฉพาะพื้นที่ในต่างจังหวัด ไม่ได้พูดถึงกรณีหากน้ำทะลักเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งนาทีนี้ไม่มีอะไรมารับประกันได้แล้ว
เมื่อพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้ย่อมมองไกลไปถึงแนวโน้มในอนาคตว่าจะต้องเลวร้ายมากกว่านี้หลายเท่า ทั้งในเรื่องผลกระทบต่อความเป็นอยู่ ภาวะจิตใจ ปัญหาทางเศรษฐกิจ ในเรื่องรายได้ปากท้องของชาวบ้าน ข้าวข้องแพง จะเกิดปัญหาอาชญากรรมประเภท “ลักวิ่งชิงปล้น” จะเกิดขึ้นมากมาย เพราะชาวบ้านไม่มีรายได้ สิ้นเนื้อประดาตัว
นาทีนี้ก็ได้แต่เห็นใจ นั่งสวดมนต์ภาวนาว่าจะให้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างไร เพราะจะหวังพึ่งรัฐบาลก็คงต้องตัดบทไปเลย เพราะเมื่อพิจารณาจากทั้ง “ระบบคิด” ตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาลลงมาคือนายกรัฐมนตรีมาจนถึงบรรดารัฐมนตรีที่ล้วนแล้วแต่ “ของปลอม” แต่มีการสร้างภาพ “ปั่นราคา” สร้างภาพเกินจริง ในเมื่อฝากความหวังกันไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นก็คือชาวบ้านต้องผนึกกำลังช่วยเหลือกันและกัน เพราะหากคิดจะรอด และดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืนก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ประหยัด ยึด “เศรษฐกิจพอเพียง” เท่านั้น อย่าไปเสียสมาธิ “ฟุ้งซ่าน” กับเรื่องอื่นเป็นอันขาด!!