xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.จวก พท.อย่าแกล้งโง่ ยันกล้องหลอกสมัย “แม้ว” ก็มี ซัดรัฐดีแต่แหลแถเพื่อพี่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
โฆษก ปชป.จี้ เพื่อไทยเลิกเล่นกล้องวงจรปิด กทม.ซัดเอาความปลอดภัยชาวกรุงเป็นตัวประกัน จวกอย่าแกล้งโง่ ยันสมัยแม้ว ก็มีกล้องหลอกในชายแดนใต้ แขวะเด้ง “อัษฎา” เหตุรักชาติเกินคุณสมบัติไม่ตรงรัฐ ด้าน โฆษก ครม.เงา ย้ำ บ้านหลังแรกไม่ได้ช่วยคนจน “มัลลิกา” โผล่ทำงานรองโฆษก จวกรัฐสวนทางปรองดอง งานเหลว ดีแต่แหล แถเพื่อพี่ มีวาระซ่อนเร้น ไม่เห็นหัวประชาชน



วันนี้ (25 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย ยุติการโจมตีประเด็นการติดตั้งกล้องวงจรปิดของ กทม. เนื่องจากเป็นการทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และใช้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างน่ารังเกียจ

“เรื่องอย่างนี้คนดีๆ เขาไม่ทำกัน อย่าแกล้งโง่ทำเป็นไม่เข้าใจ หรือสร้างประเด็นบิดเบือนให้ประชาชนสับสน เพราะในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีการติดตั้งกล้องดัมมี่ เพราะมีงบประมาณจำกัดในพื้นที่ภาคใต้ แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเอามาเล่นเป็นประเด็นการเมืองเพราะเข้าใจข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ และรู้ดีว่าจะกลายเป็นการสร้างผลกระทบด้านความปลอดภัยของประชาชน ทำให้ผู้ร้ายไม่เกรงกลัว คนที่ได้รับความเดือดร้อน ก็คือ ประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยกลับนำเรื่องนี้มาเล่นการเมือง เพียงเพราะใกล้ช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จึงต้องการทำลายคู่แข่งโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน และยังเป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นที่รัฐบาลไร้ความสามารถในการบริหารประเทศด้วย ซึ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่หวาดกลัว เพราะชี้แจงได้ทุกประเด็น เรื่องไหนที่คิดว่าไม่โปร่งใสก็ขอให้ตรวจสอบอย่างจริงจัง ไม่ใช่ทำให้เกิดกระแส จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไป เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาตลอด เช่น กรณี 165 ศพที่จังหวัดระยอง ที่มีการขนศพไร้ญาติมากว่าสิบปีแล้ว แต่กลับพยายามขุดศพมาใส่เสื้อแดงกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อความจริงปรากฏก็ไม่มีใครรับผิดชอบ หรือกล่าวคำขอโทษแม้แต่คำเดียว” นายชวนนท์ กล่าว

นายชวนนท์ ยังอธิบายเกี่ยวกับสัญญาจัดซื้อจัดจ้างในการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ผ่านมา จำนวน 4 ฉบับ ในสมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน มีการทำสัญญาเพียงหนึ่งฉบับ โดยติดตั้งกล้องจริง 347 ตัว ดัมมี่ 242 ตัว ราคาตัวละ 2,900 บาท เป็นเงิน 7 แสนบาท ส่วนสัญญาฉบับที่ 2-4 เกิดขึ้นในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร โดยฉบับที่ 2 มีการติดตั้งกล้องจริง 533 ตัว กล้องดัมมี่ 373 ตัว ฉบับที่ 3 มีการติดตั้ง กล้องจริง 490 ตัว กล้องดัมมี่ 343 ตัว และฉบับที่ 4 ติดตั้งกล้องจริง 676 ตัว กล้องดัมมี่ 367 ตัว รวมทั้งหมดมีการติดตั้งกล้องจริง 2,046 ตัว และกล้องดัมมี่ 1,325 ตัว วงเงินทั้งหมดรวม 330 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาของกล้องดัมมี่ก็แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ในปัจจุบันราคาก็ตกลงไปอีก ดังนั้น ผู้ที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องนี้ควรพูดให้ครบ อย่าหยิบยกแต่บางประเด็นที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองกับตัวเองเท่านั้น

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนบุคลากรในการเจรจาข้อพิพาทเขตแดนทางบกและทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ว่า เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดู เพราะต้องยอมรับว่าคุณสมบัติของบุคลากรที่ถูกปรับเปลี่ยนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น นายวีรชัย พลาศัย นายอัษฎา ชัยนาม และ นายเกรียงศักดิ์ ล้วนเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายทางทะเลและเขตแดนทางบก อีกทั้งเป็นผู้มีความรักชาติอย่างยิ่ง แต่คุณสมบัติเหล่านี้อาจไม่จำเป็นสำหรับรัฐบาลชุดนี้

“การเตะฟุตบอลระหว่าง ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง กับผู้นำกัมพูชา เมื่อวานนี้แล้วคนไทยคงต้องหัวเราะทั้งน้ำตา เพราะแสดงให้เห็นถึงการทำงานเป็นทีมเวิร์ก เข้าขากันเป็นอย่างดี ช่วยกันซัลโวประตูคู่ต่อสู้ ผมก็ภาวนาว่าช่วยกันอย่าซัลโวประตูประเทศไทยเลย เพราะแม้สมเด็จฮุนเซน จะเห็นพวกท่านเป็นชาวกัมพูชา หรือพวกท่านจะคิดว่าตัวเองเป็นคนกัมพูชาไปแล้ว แต่พวกท่านก็อย่าลืมว่า มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งสมเด็จฮุนเซน มีความย่ามใจเหมือนกับจะสั่งซ้ายหันขวาหันกับประเทศไทยได้ พวกท่านต้องไม่ลืมตัวว่าตัวเองเป็นคนไทย ไม่ใช่คนกัมพูชา ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำคือ ต้องแสดงจุดยืนว่าจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก การปกป้องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รวมถึงการเจรจาผลประโยชน์ทางทะเล ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าก็ให้ฟื้นคืนชีพเอ็มโอยู 44 นำเข้า ครม.ยกเลิกมติของรัฐบาลชุดที่แล้วโดยไม่ต้องฟังเสียงคัดค้านจากประชาชน แต่เชื่อว่า ประชาชนที่รักชาติจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่าเราจะร่วมกันรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานอย่างไร” นายชวนนท์ กล่าว

ด้าน นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส. กทม.โฆษกคณะรัฐบาลเงา พรรคประชาธิปัตย์ แถลงย้ำถึงนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล ว่า ไม่ได้ช่วยคนจน พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลกลับไปใช้วิธีการที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เคยช่วยเหลือพี่น้องคนจนด้วยการออกนโยบายให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 2 ปี กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมในวงเงิน 25,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะมีประชาชนมาใช้โครงการนี้จำนวนมาก จนเต็มวงเงิน โดยรัฐบาลในขณะนั้นได้ตั้งวงเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธอส.จำนวน 500 ล้านบาท และเท่าที่ได้สอบถามจาก ธอส.พบว่า หากรัฐบาลจะใช้โครงการนี้มีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยการขยายวงเงินอีก 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือคนจนอย่างแท้จริง เพราะผู้ที่จะซื้อบ้านมือสอง หรือ ปลูกบ้านใหม่บนที่ดินของตัวเองก็จะได้รับประโยชน์ด้วย ไม่ใช่ว่าต้องมีเงินเดือนสามหมื่นบาทขึ้นไป จึงจะได้รับประโยชน์ ซึ่งโครงการของรัฐบาลนี้คนรากหญ้าไม่มีใครได้ประโยชน์เลย

“ผมหวังว่า ในการประชุม ครม.สัปดาห์นี้ รัฐบาลจะทบทวนเพราะที่ผ่านมารัฐบาลคำนวณสูตรผิดพลาด เดินหน้าต่อไปโครงการนี้ก็แท้ง ดังนั้น เพื่อให้รัฐบาลกำหนดนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อคนจนอย่างแท้จริง ก็ควรเปลี่ยนวิธีการให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยกับประชาชนเหมือนที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยทำจะดีกว่า หรือถ้าคิดจะเกทับด้วยการกำหนดให้ปลอดดอกเบี้ย 5 ปีเราก็ไม่ขัดข้อง เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ แต่ก็ต้องดูตามความเป็นจริงด้วย เพราะหากทำเช่นนั้นสถาบันการเงินต้องรับภาระหนัก อีกทั้งรัฐบาลก็ต้องเพิ่มเงินชดเชยโดยใช้งบประมาณแผ่นดินไปจ่ายค่าดอกเบี้ยให้ธนาคารประมาณพันกว่าล้านบาท” นายอรรถวิช กล่าว

ขณะที่ นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลงานรอบหนึ่งเดือนของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า นอกจากยังไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมในการช่วยเหลือประชาชนแล้ว ยังลืมคำพูดที่เคยกล่าวว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้นโดยเดินหน้าออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการปรองดอง แต่เป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคมเพิ่มขึ้น ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สนใจแต่ความสวยงาม ใช้ของแบรนด์เนม ยิ้มใส่กล้อง สร้างภาพผ่านสื่อ ขณะที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะงานเร่งด่วนของรัฐบาลกลายเป็นการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่การขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศได้ โยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขา สมช.ปูทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร.เร่งเครื่องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่นโยบายที่แถลงต่อรัฐสภากลับไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น แจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 บิดพลิ้วค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท และ เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท เป็นรายได้แทน

“ประชาชนได้สะท้อนผ่านการลงพื้นที่ของดิฉัน ว่า ได้รับความทุกข์ยากอย่างมาก แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจให้ความช่วยเหลือ จึงเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ ดีแต่แหล แถเพื่อพี่ มีวาระซ่อนเร้น ไม่เห็นหัวประชาชน จึงขอให้ปรับปรุงตัวเอง และเห็นหัวประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่แต่งตัวสวยไปวันๆ มัวแต่คิดว่าจะใช้กระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อไหน ทั้งแอร์เมส ชาแนล ควรเอาเวลาแต่งตัวไปลงพื้นที่ดูแลความเดือดร้อนของประชาชนจะดีกว่า” นางสาวมัลลิกา กล่าว

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวและเงินชดเชย 2,222 บาท เนื่องจากมีการเก็บเกี่ยวข้าวหนีน้ำไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ไม่มีข้าวไปจำนำ ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือพบว่าโรงสีได้กว้านซื้อข้าวดักหน้าเพื่อนำไปสวมสิทธิ์ในโครงการจำนำข้าวที่จะเริ่มต้นในวันที่ 7 ตุลาคม จึงเป็นห่วงว่า ปัญหาจะย้อนรอยกลับไปเหมือนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดในกรณีความชื้น ล้วนแต่เอื้อประโยชน์ต่อสต๊อกข้าวในโรงสีทั้งสิ้น เนื่องจากข้าวของเกษตรกรไม่ได้มาตรฐานความชื้นตามที่รัฐบาลกำหนดเป็นเงื่อนไข เพราะประสบกับปัญหาอุทกภัย ดังนั้นโครงการนี้จึงเหมือนกับดำเนินการเพื่อเอาใจและเอื้อประโยชน์ให้กับโรงสีไม่ใช่ช่วยชาวนา จึงอยากให้นายกฯศึกษาปัญหาการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อกำหนดแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น