หน.ปชป. จี้ “ยิ่งลักษณ์” เผยเจรจา “ฮุนเซน” หวั่นงุบงิบผลประโยชน์ส่วนตัว เตือนแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่ แนะรัฐบาลเตรียมข้อมูลให้พร้อม ตั้งธงต่อสู้ศาลโลกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ย้ำหากจะใช้เอ็มโอยู 44 ต้องแก้ไขเรื่องเขตแดนไม่เสียเปรียบ ขู่หากขัด รธน.ถือเป็นโมฆะ
วันนี้ (18 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวมีการเคลื่อนย้ายรถถังออกจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาว่าต้องให้ทางการยืนยันว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งต้องเริ่มต้นจากรัฐบาลที่ต้องกำหนดนโยบายและทิศทางให้ชัดว่าจะจัดระบบการดูแลพื้นที่อย่างไร ซึ่งเดิมเราเห็นว่าจะต้องผ่านการเจรจากันให้ชัดเจนว่าจะดูแลกันอย่างไร รัฐบาลชุดที่แล้วจึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อประสานให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันและมีจุดยืนเดียวกันเพื่อนำไปเจรจากับกัมพูชาว่าจะดำเนินการในขั้นตอนศาลโลกกันอย่างไร
ต่อข้อถามว่าความไม่เป็นเอกภาพเชิงนโยบายจะส่งผลต่อความเข้มแข็งต่อการรักษาอธิปไตยไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่จริงฝ่ายไทยจะต้องคุยภายในกันให้รู้เรื่องเสียก่อน จึงกำหนดท่าทีที่เหมาะสม ตนจึงเสนอว่าขอให้รีบเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาหารือเพราะต้องดำเนินการอย่างมีเอกภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องมีแผนรองรับทั้งหมดไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าดูจากท่าทีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้วจะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนก็เป็นห่วงเพราะในช่วงแรกเหมือนกับไม่ยืนยันพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้ชัดเจน แต่ตอนหลังมายืนยันก็ยังไปพูดถึงความทับซ้อนอีก อย่างไรก็ตาม จุดยืนของรัฐบาลชุดที่แล้วชัดเจนว่าพื่นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทยและเป็นเรื่องที่ต้องเจรจาทั้งทางด้านกฎหมาย หรือวิธีการอื่นเพื่อปกป้องพื้นที่นี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการต่อสู้ในศาลโลกว่า การต่อสู้ในศาลโลกแบ่งเป็น 2 ช่วงช่วงแรกเป็นการขอคำสั่งชั่วคราวที่จะให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ รัฐบาลชุดที่แล้วก็ไปต่อสู้จนกระทั่งศาลวินิจฉัยว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องมีการถอนทหาร ซึ่งทางกัมพูชาก็ไม่คาดคิดเพราะเขาเป็นฝ่ายขอฝ่ายเดียว ที่สำคัญคือได้มีการวาดแผนที่ให้ดูว่าพื้นที่ที่มีการถอนทหาร คือสองฝั่งของสันปันน้ำ ซึ่งจะกินพื้นที่กัมพูชามากกว่าเสียอีก
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ส่วนการต่อสู้ในคดีหลักยังไม่มีการยื่น เพราะฉะนั้นเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลนี้ในการเตรียมข้อมูลให้สมบูรณ์ที่สุดในคดีหลัก การจะมาโยนบาปให้คนอื่นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่กัมพูชาไปร้องและเราอยู่ระหว่างขึ้นตอนเตรียมการต่อสู้ก็ไปได้ดีพอสมควร ดังนั้น รัฐบาลจะต้องดูแลการต่อสู้ในคดีหลักจะต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ท่าทีของรัฐบาลเป็นอย่างนี้จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะทำเต็มที่ในศาลโลก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องเต็มที่เพราะมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนและแสดงความพร้อมในการต่อสู้ในศาลโลก ที่สำคัญคือการแสดงออกในทุกเวทีต้องสอดคล้องในแนวทางการต่อสู้ที่เราจะใช้
ต่อข้อถามว่าผลประโยชน์ที่มีอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.จะทำให้ท่าทีของรัฐบาลนี้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องของอธิปไตยเป็นเรื่องที่จะต้องปกป้อง ส่วนการเจรจาการแบ่งปันทรัพยากรทางทะเลก็เป็นอีกประเด็น แต่ทั้ง 2 กรอบจะต้องไม่ให้เสียเปรียบ ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังได้แนะนำกัมพูชาให้รีบขุดน้ำมันมาใช้โดยเร็ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกระบุมาตลอดว่ามีผลประโยชน์ในการจะเข้าไปทำธุรกิจนี้ จึงอยากให้เกิดขึ้นเร็ว
เมื่อถามว่า เมื่อทักษิณคิดแล้วพรรคเพื่อไทยทำด้วยจะสอดรับกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยจะทำอะไรหรือไม่ แต่รัฐบาลไทยต้องมีหน้าทีปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ต่อข้อถามว่า รัฐบาลอาจลอยตัวโดยอ้างให้กระทรวงการต่างประเทศไปดู นายอภิสิทธิ์ตอบว่า นายกฯ จะต้องดูแลให้ทุกหน่วยงานทำงานไปในแนวทางเดียวกัน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศที่จะมีประเด็นข้อกฎหมาย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี อุทยาน ซึ่งเกี่ยวพันไปหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า คนส่วนใหญ่ไม่ไว้ใจ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วจะไว้ใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าแยกแยะออกระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวและหน้าที่นายกรัฐมนตรีกับหน้าที่ที่มีต่อส่วนรวมที่ต้องรับผิดชอบให้กับคนทั้งประเทศ ต่อข้อถามว่าถ้าจะต้องนำ mou 44 มาใช้ จากนี้ไปอะไรบ้างที่เห็นว่าต้องปรับปรุงเพื่อไม่ให้ชาติเสียหาย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มี 2 เรื่อง คือ 1.การกำหนดเส้นเขตแดนต้องให้มีความมั่นใจว่าเป็นไปตามสนธิสัญญาที่ได้ทำไว้ โดยเฉพาะเรื่องของเกาะกูด 2.แง่ของการแบ่งปัน ผลประโยชน์ก็ต้องดูแลไม่ให้เสียเปรียบเพราะสูตรการคำนวณการแบ่งปันผลประโยชน์ก็เป็นที่ถกเถียงกันมาหลายครั้ง ถ้าทำแล้วไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญก็เป็นโมฆะ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพรรคเพื่อไทยจะตั้งกระทู้ถามการเจรจาลับระหว่างสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ เกี่ยวกับผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตั้งกระทู้ถามได้ ซึ่งรัฐบาลก็มีหน้าที่ตอบ หากมีการพาดพิงพวกตนก็จะลุกขึ้นชี้แจง ซึ่งการเจรจาลับไม่มี ขอย้ำว่านายสุเทพไปหลังจากที่ ครม.มีมติมอบหมายอย่างเป็นทางการหลังจากที่ได้มีการหารือกับกัมพูชาและยังไม่ได้เดินหน้าทำอะไรที่จะทำให้เกิดการเสียเปรียบและเสียหายแน่นอน ต่อมาเมื่อมีการแขวนก็หยุดทุกอย่างเอาไว้เท่านั้นเอง เมื่อถามว่า รมว.ต่างประเทศอ้างว่านายฮอร์ นัมฮง รองนายกฯ กัมพูชาระบุมีการเจรจาลับจิ่ง นายอภิสิทธิ์ตอบว่า นายสุรพงษ์ไปฟังจากกัมพูชาแล้วเชื่อกัมพูชาทุกเรื่องก็แย่แล้ว
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการที่รัฐบาลไม่มีนโยบายชัดเจนในพื้นที่ภาคใต้ว่า ตนอยากให้รัฐบาลเร่งยืนยันแนวทางการแก้ปัญหา โดยเฉพาะกลไกที่เกิดขึ้นตามกฎหมายใหม่และแนวทางที่เราเน้นเรื่องการพัฒนากับความยุติธรรม ถ้าทำอย่างนี้ได้ตนเข้าใจดีว่าสถานการณ์บางช่วงก็จะมีความรุนแรงขึ่นมา แต่ถ้ามีความไม่แน่นอนก็จะมีอุปสรรคในการแก้ปัญหา ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุการณ์รุนแรงล่าสุดจะเป็นเครื่องเตือนสติรัฐบาลหรือไม่ว่าไม่ควรใช้ตำแหน่งเลขาฯ ศอ.บต.เป็นเครื่องมือทางการเมืองทนายอภิสิทธิ์ อยากให้รัฐบาลตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาและความละเอียดอ่อน ถ้าเราต้องมาเปลี่ยนแปลงนับหนึ่งกันใหม่อยู่ตลอดเวลาก็จะเป็นปัญหา ตนคิดว่ายืนยันได้ว่าแนวทางที่ทำมาแม้ยังมีปัญหาอยู่ แต่เป็นแนวทางที่น่าจะเดินไปได้ จึงอยากให้รัฐบาลเดินต่อ
ต่อข้อถามว่าการที่รัฐบาลส่ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร.ดูแลพื้นที่ภาคใต้คิดว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์และเคยทำงานในพื้นที่ด้วย แต่ทั้งหมดต้องอย่าย้อนกลับไปในลักษณะที่บอกว่าเป็นเรื่องของตำรวจและทหาร แต่ต้องเอา ศอ.บต.เป็นหลักและเอากระบวนการของการพัฒนาเป็นหลักของการแก้ปัญหา เมื่อถามว่า พล.ต.อ.อดุลย์กำลังถูกมอบหมายให้ดูเรื่องยาเสพติดจะมีเวลาในการดูพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่เป็นไรเพราะในพื้นที่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีส่วนเชื่อมโยงเรื่องยาเสพติดเหมือนกัน