รองนายกฯ ยัน คอ.นธ.รื้อศาลไม่ได้ เผยสั่ง “ธาริต” คืนคดี 13 ศพช่วงแดงเผาเมืองให้นครบาลจัดการต่อ รวมสื่อยุ่น-มะกะโรนี และ “เสธ.แดง” ด้วย อ้างทำตรงไปตรงมา หนุนแนวคิด “คณิต” ยันดีเอสไอต้องคดีพิเศษจริงๆ ขณะที่ประชุม กก.คดีพิเศษ รับเรื่องหุ้นแอสเซ็ท มิลเลี่ยน-รุกป่าขุนซ่อง เข้าทำคดี
วันนี้ (16 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ว่าจะสามารถรื้อศาล รื้อองค์กรอิสระได้หรือไม่ว่า ไม่สามารถทำได้ ส่วนการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษในวันนี้ (16 ก.ย.) มี 3 ระเบียบวาระด้วยกัน คือ เรื่องที่ต้องรับเป็นคดีพิเศษ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนไปแล้ว แต่ต้องการเร่งรัดให้เป็นคดีพิเศษเพื่อมีอำนาจเต็ม ตนคิดว่าหากดีเอสไอรับเรื่องไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ควรที่จะพิจารณาให้แล้วเสร็จ เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องทำคดีที่พิเศษจริงๆ ตนได้หารือกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีที่มีผู้เสียชีวิต 13 ศพในเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปีที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสงสัยว่าการตายในครั้งนี้เป็นการตายที่ผิดธรรมชาติที่มีการกระทำของเจ้าพนักงานหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอกลับรับเรื่องไว้ ซึ่งโดยหลักการแล้วพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจในการชันสูตรพลิกศพนั้น ต้องเป็นพนักงานสอบสวนในพื้นที่เท่านั้น ดีเอสไอไม่มีอำนาจในการชันสูตรพลิกศพ แต่มีอำนาจในการสอบสวนคดีทั้งหมดได้หากรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งนายธาริตก็ระบุภายในสัปดาห์หน้าจะส่งเรื่องนี้กลับมาให้ตำรวจนครบาลรับผิดชอบต่อไป
“ผมย้ำว่ายุคนี้ที่ผมมารับผิดชอบนั้นขอให้ทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเอาใจรัฐบาล ไม่ต้องเอาใจผม แต่อะไรที่เป็นบทบัญญัติที่กฎหมายกำหนดไว้ต้องทำตามนั้น ซึ่งท่านธาริตก็รับปากว่าจะส่งเรื่องกลับมาให้พนักงานสอบสวนที่พบศพของสถานีตำรวจนครบาล” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รวมถึงผู้เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ ด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา ตนไม่ทราบเรื่องทั้งหมด เมื่อครั้งก่อนนายธาริตนำเรื่องนี้มาเข้าสู่คณะกรรมการคดีพิเศษ ตนเป็นคนบอกว่าให้ถอนเรื่องไป เพราะดีเอสไอไม่มีอำนาจในการชันสูตรพลิกศพ คนที่มีอำนาจคือพนักงานสอบสวนท้องที่ที่พบศพ รัฐบาลชุดนี้ตรงไปตรงมาอยู่แล้ว เมื่อถามว่า การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษในวันนี้จะนำคดีอะไรเข้าที่ประชุมบ้าง ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เรื่องนี้คงบอกไม่ได้ เพราะถือเป็นความลับของทางราชการ
เมื่อถามว่า การที่อาจารย์คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ข้อเท็จจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ออกมาระบุว่าต้องการที่จะจัดระเบียบกรมสอบสวนต่างๆ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ มองอย่างไรบ้าง ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับอาจารย์คณิตในแนวคิดนี้ ที่สำคัญที่สุดกรมสอบสวนคดีพิเศษต้องพิเศษจริงๆ ไม่ใช่คดีมโนสาเร่ก็รับหมด จากนี้ต่อไปคงต้องให้ข้อคิดกัน
ผู้สื่อข่าวซักต่อว่า กรณีผู้เสียชีวิต 13 ศพในเหตุการณ์การชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นจะนำกลับไปอยู่ในความรับผิดชอบของนครบาลใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ตามกฎหมายนั้นดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนได้ แต่เมื่อมีการเสียชีวิตขึ้นมาโดยอ้างว่าเจ้าพนักงานเป็นผู้ทำให้เสียชีวิต ก็ต้องมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อส่งให้ศาลไต่สวน คณะกรรมการไต่สวนเบื้องต้น อัยการก็ต้องร่วมด้วย ซึ่งเรื่องนี้มีขั้นตอนอยู่
เมื่อถามว่า มีกี่คดีที่คล้ายกับคดีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะต้องนำเรื่องกลับให้ตำรวจนครบาลดูแลแทน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ขณะนี้มีคดี 13 ศพ มี 13 เรื่อง รวมถึงเรื่องของช่างภาพญี่ปุ่นและอิตาลีด้วย ซึ่งรายละเอียดตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการชันสูตรพลิกศพโดยพนักงานสอบสวนของพื้นที่ที่พบศพ
ซักต่อว่า มีการกำหนดระยะเวลาหรือไม่ว่าการชันสูตรพลิกศพทั้ง 13 ศพ นี้จะแล้วเสร็จเมื่อใด ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า กฎหมายมีอยู่แล้ว หากไม่แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ก็ต้องต่ออีก 30 วัน การฟ้องคดีนั้นหากชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จก็ฟ้องไม่ได้ แต่หากไม่ชันสูตรเลยนั้นฟ้องได้
เมื่อถามว่ารวมถึงคดีของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกและแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เหมือนกันหมด ต้องดำเนินการเหมือนกันหมด ใครไม่ได้ทำอะไรผิดไว้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนกระบวนการที่เกิดความผิดพลาดที่ต้องนำเรื่องกลับสู่นครบาลนั้นใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ต้องหัดลืมบ้าง ถ้าจะไปเอาเอาตายบ้านเมืองของก็เดินหน้าไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หลักกฎหมายมีอยู่ก็ต้องทำให้ถูกต้อง หากมีการพบข้อมูลว่ามีการบิดเบือนจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดก่อนจะดำเนินการ หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เรื่องนี้เร็วเกินไปที่จะพูด ให้ชันสูตรพลิกศพให้เรียบร้อยเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติให้คดีอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จำนวน 2 เรื่องคือ 1.กรณีนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินคดีต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเบียดบังเอาหุ้น บริษัทแอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นของคนอื่นมาเป็นของตนเอง อันมีผลเพื่อเข้าครอบงำกิจการของบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีความเชื่อมโยงอีกหลายคดี 2.กรณีการบุกรุกและแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าขุนซ่อง) ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหาแมว จ.จันทบุรี ซึ่งมีการบุกรุกอยู่หลายกลุ่ม รวมเนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ และเรื่องดังกล่าวยังมีข้าราชการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด จึงมีมติให้ทั้ง 2 เรื่องเป็นคดีพิเศษต่อไป