“เทพไท” อัด “เป็ดเหลิม” อย่าท้าฝ่ายค้านยื่นซักฟอก เตือนคิดรื้อคดีโกงที่ดินรัชดาฯ ต้องตอบโจทย์คนไทยให้ได้ ดักคอปูแดงอย่าชิ่งหนีการตอบกระทู้ในสภาฯ จี้ รบ.หยุดย้ายข้าราชการเซ่นอำนาจใหม่ เย้ยความสุขคนไทยลดเหตุ รบ.เพื่อไทยขายฝัน แล้วทำไม่ได้จริง
วันนี้ (12 ก.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาท้าทายพรรคประชาธิปัตย์พร้อมท้าทายให้ยื่นญัตติด่วนหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ หากเกิดความสงสัยกรณีแนวคิดของตนที่จะรื้อฟื้นคดีที่ดินรัชดาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ร.ต.อ.เฉลิมไม่ควรรีบเร่งให้พรรคฝ่ายค้านยื่นอภิปราย เพราะเรื่องดังกล่าวต้องรอให้รัฐบาลดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อน ถ้าหากเกินความไม่ชอบมาพากล ก็เป็นหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านที่จะต้องมีมาตรการตรวจสอบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่พรรคประชาธิปัตย์จะให้เวลาการทำงานกับรัฐบาลสักระยะหนึ่ง ไม่เหมือนกับยุคที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำงานเพียงระยะหนึ่งก็คิดที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว
นายเทพไทกล่าวว่า ขอให้ ร.ต.อ.เฉลิมได้เตรียมความพร้อมที่จะรับการตรวจสอบของพรรคฝ่ายค้านโดยเฉพาะตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ควรจะหลีกหนีการตรวจสอบในสภาผู้แทนราษฎรด้วยการตั้งญัตติด่วน หรือกระทู้ถามสด และโยนความรับผิดชอบให้กับ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ทำตัวเป็นทนายหน้าหอให้นายกรัฐมนตรี โดยการอ้างว่าสิ่งจำเป็นที่ต้องเร่งรีบช่วย พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเพราะประชาชนทั้ง 15 ล้านคนเลือกเข้ามา ทั้งนี้ อยากจะสอนหลักประชาธิปไตยให้คนระดับรองนายกรัฐมนตรีทราบว่า ผลการเลือกตั้งเป็นเพียงเสียงข้างมากในการลงคะแนน ไม่ใช่เสียงข้างมากของประชาชนทั้งประเทศ วันนี้ประเทศไทยมีประชากร 63 ล้านคน เลือกพรรคเพื่อไทย 15 ล้านคน ยังเหลืออีก 48 ล้านคน ที่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย จึงอยากถามว่า ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้มีความคิดที่จะเคารพเสียงคนเหล่านี้หรืออย่างไร เพราะหลักประชาธิปไตยแม้ว่าจะใช้เสียงข้างมาก แต่ก็ต้องพิทักษ์เสียงข้างน้อยไว้ด้วย
นายเทพไทกล่าวถึงกรณีการโยกย้ายข้าราชการของรัฐบาล และพยายามกล่าวหารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีการโยกย้ายข้าราชการมากกว่ายุคนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลกว่า 2 ปี ได้ให้โอกาสแก่ข้าราชการในการทำงานเพื่อพิสูจน์ผลงานเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อน อาจมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ลุอำนาจเหมือนกับรัฐบาลชุดนี้ที่เข้ามาเพียงไม่กี่วันแต่ดำเนินการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงทันทีเพื่อสนองตอบตัณหาทางการเมืองของตัวเองทันที ทั้งนี้ ในช่วงรณรงค์หาเสียงพรรคเพื่อไทยก็ได้ข่มขู่ตั้งธงไว้ก่อนแล้วว่าจะมีการโยกย้ายข้าราชการในตำแหน่งใดบ้าง ทั้งคนระดับอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การจังหวัด ล้วนแล้วถูกขาดโทษว่าจะมีการโยกย้ายจากคนพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วมีการโยกย้ายทันที โดยไม่มีความเกรงใจกระแสสังคมแต่อย่างใด อาทิ ตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งเบื้องต้นหาเหตุผลจากกรณีบ่อนเพื่อบีบบังคับ กดดัน แต่กลับเปลี่ยน ผบ.ตร.ให้กับพวกพ้องของตัวเอง และคนรับกรรมกลับเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
นายเทพไทกล่าวว่า การพยายามอ้างถึงการโยกย้ายในสมช.ในยุคประชาธิปัตย์ ที่มีการเปลี่ยนแปลง พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา และแต่งตั้งนายถวิล เปลี่ยนศรี ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่เอาลูกหม้อของ สมช.มาแทนคนนอกที่เข้ามารับตำแหน่งในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่กรณีการโยกย้ายนายถวิลที่ถูกย้ายออกไป กลับเอาคนนอกเข้ามานั่งตำแหน่งแทนคนใน
พร้อมกล่าวถึงผลสำรวจวิจัยของศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่ระบุถึงดัชนีความสุขของคนไทยที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานว่า ต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนส่วนใหญ่หลังจากผลการเลือกตั้งออกมาแทนที่จะมีความสุข กลับมีความทุกข์เพิ่มขึ้น รัฐบาลทำงาน 2 เดือน ความรู้สึกเหมือนทำงานอยู่ 2 ปี และที่สำคัญประชาชนไม่มีความสุขต่อนโยบายของรัฐบาล ทั้งๆ ที่ก่อนการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จในชัยชนะก็มาจากการประกาศนโยบายหาเสียงโดยแท้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า การผิดหวังต่อนโยบายของรัฐบาลเกิดจากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท การยกเลิกกองทุนน้ำมัน หรือค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายขายฝัน และสามารถทำให้ฝันของประชาชนเป็นจริงได้ ดังนั้น การทำงานของรัฐบาลย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะผู้นำของตัวนายกรัฐมนตรีเอง เห็นได้จากผลสำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ระบุว่า คะแนนการเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีเพียง 6.25 คะแนน ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับนายกฯ คนอื่นๆ