เวลานี้หากได้ดูข่าวสารตามสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ รวมไปถึงหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่สื่อออนไลน์จากสำนักต่างๆล้วนแล้วแต่รายงานข่าวความคิดเห็นของบรรดารัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาเสนอแง่มุมทางกฎหมายเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยเวลานี้เขากำลังหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดีหลังจากที่พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และมี “น้องสาว” ของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อหาทางนำตัวกลับเข้ามา โดยไม่ต้องมีการรับโทษใดๆ
หลายอย่างเริ่มมีการเดินเครื่องทันที แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่อาจเข้ามาบริหารประเทศอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำไป แต่ที่น่าจับตาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ก็คือ ความพยายามผลักดันให้ “พี่เมีย” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสียก่อน อย่างน้อยก็สามารถใช้องค์กรตำรวจที่เป็นกลไกรัฐสำคัญในการค้ำจุนรัฐบาลของ น้องสาวตัวเอง รวมไปถึงความมั่นคงปลอดภัยหลายอย่างที่จะตามมาทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคดีความที่ค้างคาอยู่เป็นหางว่าว รวมไปถึงเรื่องใหญ่ที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไป
หากคนส่วนใหญ่เชื่อว่าตำรวจคือกลไกสำคัญที่สามารถทำได้ทุกอย่าง ทำผิดให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิด ได้แล้วก็ย่อมเป็นคำตอบว่าทำไมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ขึ้นมาให้ได้ โดยไม่ต้องไปสนใจว่าจะไปกระทบกับตำแหน่งของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน
เพราะผลที่ได้ตามมาก็คือนอกเหนือจากสามารถส่งให้ พี่เมีย ขึ้นไปถึงฝั่งฝันเป็นเกียรติกับตัวเองและครอบครัวได้เสียที สิ่งสำคัญก็คือเป็น “หลักประกันความชัวร์” ให้กับรัฐบาล รวมทั้งตัวของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลักสำหรับความเคลื่อนไหวในวันข้างหน้า เพราะองค์กรตำรวจย่อมต้องมีหน่วยงานสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) แย้มแค่นี้ก็พอเริ่มเห็นอะไรเข้ามาเลาๆแล้วใช่หรือไม่ ตำรวจสอบสวนกลางที่กุมข้อมูลสำคัญต่างๆมากมาย ที่มีรายงานข่าวเข้ามาเพิ่มเติมว่ากำลังจะผลักดัน “หลานเขย”ของตัวเองเข้ามารับตำแหน่งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หรือแม้กระทั่งกองบังคับการกองปราบปรามที่มีอำนาจในการจับกุมได้ทั่วประเทศ ก็เป็นกลไกหลัก
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องผลักดันคนที่ไว้ใจได้ขึ้นนั่งเก้าอี้สำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เมื่อวกกลับมาที่ความเคลื่อนไหวทางด้านข้อกฎหมายเพื่อหาทางให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นโทษ หากจับอาการล่าสุดก็มีอยู่สองประเด็นหลักเร่งด่วนก็คือ การ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” ในช่วงวโรกาสสำคัญในปีนี้ ซึ่งก็คือ วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งนอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วยังเป็น “วันพิเศษ” ครบรอบทรงมีพระชนมายุ 84 พรรษา(7 รอบ) ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการพระราชทานอภัยโทษกับผู้ที่กระทำความผิด ผู้ต้องโทษกันครั้งใหญ่ ซึ่งตามปกติก็กระทำมาเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว
แต่ในปีนี้เป็นวโรกาสสำคัญ ทางรัฐบาลก็เป็นตัวแทนคนไทยเตรียมจัดงานมหามงคลกันอย่างยิ่งใหญ่เพื่อถวายพระเกียรติ ถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์ท่าน
ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือความพยายามรื้อฟื้นให้มีการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาภิเษกขึ้นมาใหม่ โดยอ้างแบบ “ตัดตอน” เพื่อให้สังคมเข้าใจผิดว่า ศาลแพ่งได้ตัดสิน “เป็นโมฆะ” ไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกันจริง และในที่สุดก็สรุปเอาดื้อๆว่า ทักษิณ ไม่ได้ทำความผิด ซึ่งคนที่จุดประเด็นขึ้นมาก็คือ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เคยพลาดหวังทั้งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมไปถึงสอดคล้องกับความเห็นของ รองนายกรัฐมนตรี เฉลิม อยู่บำรุง ที่ยกข้อกฎหมายในเรื่อง “ผู้ที่ไม่เคยคิดคุกก็ถวายฎีกา” ได้
ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและผู้ทรงคุณวุฒิ มาพิจารณาเรื่องการถวายฎีกาขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากแง่มุมทางกฎหมายที่แต่ละฝ่ายนำมาเสนอและถกเถียงอาจจะเวียนหัว เพราะจะนำเสนอในสิ่งที่เป็นคุณกับตัวเอง
แต่ประเด็นสำคัญก็คือที่ผ่านมาได้เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติเกิดขึ้นหรือไม่ แม้ว่าจะพยายามอ้างว่าการพระราชทานอภัยโทษเป็น “พระราชอำนาจโดยแท้” ใครจะไปก้าวล่วงไม่ได้ ก็ก็ย่อมจริงแท้เหมือนกัน แต่ต้องตั้งคำถามกลับไปเหมือนกันว่า เมื่อใครเดือดร้อนก็ส่งไปถึงพระองค์ท่านโดยตรงหรืออย่างไร ไม่มีหน่วยงานตรวจสอบ หรือไม่ผู้ที่รับผิดชอบถวายความเห็นประกอบอย่างนั้นหรือ
และที่สำคัญที่ผ่านมาเคยมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างไร เคยใช้กับกรณีที่นักโทษหลบหนีแล้วไม่เคยสำนึกผิด มิหนำซ้ำยังเคยตำหนิศาลว่า “ยุติความเป็นธรรม” อยู่เนืองๆ หรือบังอาจมากกว่านั้นก็คือ “บางคน” เคยถึงขั้นก้าวล่วงให้ร้ายพระองค์ท่านมาแล้ว โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศเป็นระยะ หากจำกันได้ก็คือกรณีกล่าวกับ “เอเชียไทม์ออนไลน์” เมื่อหลายเดือนก่อน มีหลักฐานปรากฏชัดเจน
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดนั้นเริ่มมีคนจับทางได้ว่าแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็นกระบวนการเพื่อหาทางให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับพระราชทานอภัยโทษในวันสำคัญเดือนธันวาคม โดย “สมรู้ร่วมคิด” กันทำให้เข้าเงื่อนไขการได้รับการพระราชทานอภัยโทษ นั่นคือต้อง “ถูกคุมขัง” ในคุกเสียก่อน ซึ่งก็หมายถึงการดอดเข้าประเทศอย่างเงียบๆแล้วอยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์สักหนึ่งถึงสองวันหรือสองสามชั่วโมงก็ได้ จากนั้นก็เป็นไปตามหลักการทั่วไปเหมือนกับคนอื่นๆที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษหมู่สำหรับผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดี มีอายุเกิน 60 ปี รวมไปถึงต้องโทษไม่เกิน 2 ปี ที่ปฏิบัติกันเป็นประจำ ซึ่งก็แล้วแต่การร่างพระราชกฤษฎีกากันไว้ล่วงหน้า
ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ที่น่าจับตาก็คือน่าจะต้องเกิดขึ้นหลังจากแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่เรียบร้อยแล้ว เพราะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่งเชื่อว่าหลายคนอยากให้ ทักษิณ ได้เลือกใช้วิธีการ “ตุกติก”แบบนี้เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงรับรองว่า จะเกิดเสียงประณาม เกิดการชี้หน้าด่ากันขรมแน่ เพราะนั่นเท่ากับว่ารัฐบาลชุดนี้ตั้งขึ้นเพื่อช่วยคนกันเองเท่านั้น ขณะที่การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ซึ่งในที่นี้ต้องรวมถึงพวก “แดงระดับไพร่” เป็นเรื่องรองอยู่ลำดับท้ายๆ ซึ่งอีกไม่นานก็คงได้เห็นกัน !!