กกต.จัดสัมมนาส่งท้าย กกต.จว. ขอบคุณที่เสียสละทำงานเพื่อประเทศชาติ ขณะที่ “สดศรี” ลั่น การทำงานของ กกต.ท่ามกลางความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องง่าย ชิงออกตัวหากเกิดวิกฤตการเมืองใหม่ไม่ได้เกิดจาก กกต. ยอมรับถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซงมาโดยตลอด ไม่หวั่นถูกถอด คุกคาม พร้อมสละหัวโขนทุกเมื่อ
วันนี้ (4 ก.ย.) ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี สำนักงานคณะกรรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดโครงการสัมมนา กกต.ประจำจังหวัด ประจำปี 2554 เนื่องในโอกาสที่ กกต.จังหวัดจำนวน 62 จังหวัดได้พ้นวาระการดำรงตำแหน่ง โดยมีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ และนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เข้าร่วม ทั้งนี้ ในการสัมมนาได้มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อสะท้อนความเห็นการทำงานของ กกต.จังหวัดที่ผ่านมา พร้อมกับนำเสนอแนวทางการจัดการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพต่อไป โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการภายในองค์กรทั้งเรื่องบุคคลกร และองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ อาทิ กลุ่มงานพรรคการเมืองมีความเห็นว่าปัจจุบันสาขาพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้มีการดำเนินกิจกรรมอย่างแท้จริง บางแห่งอยู่ในสถานที่ตั้งไม่เหมาะสม เช่น ร้านซ่อมจักรยาน หรือบ้านคนธรรมดาที่ถูกหลอกให้เปิดสาขาพรรค ดังนั้นจึงอยากเสนอให้มีการออกระเบียบให้มีการจัดกิจกรรมที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม เช่น นักการเมืองที่ลาออกโดยไม่จำเป็นขณะที่ได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งควรจะมีกฎหมายเอาผิดนักการเมืองที่ลาออกก่อนครบวาระ เพราะส่วนใหญ่พบว่านักการเมืองลาออกที่ได้เปรียบทางการเมือง โดยไม่จำเป็นเพื่อออกไปและกลับมาสมัครใหม่ ทำให้เป็นภาระในการจัดการเลือกตั้งของ กกต. จึงเสนอให้ผู้ที่ลาออกก่อนครบวาระห้ามมาสมัครภายใน 1 ปี และเลื่อนผู้ที่ได้ลำดับคะแนนที่ 2 ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง
ในส่วนของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. และท้องถิ่นที่ผ่านมา กกต.จังหวัดเห็นว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งด้วยการกำหนดประชากรเลือกตั้ง โดยใช้วิธีประชาคมนั้นเป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองแทรกแซงการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตัวเอง ทำให้การแบ่งเขตการเลือกตั้งไม่เหมาะสม ขณะที่งานด้านสืบสวนสอบสวน เห็นการทำหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวน มีปัญหาจนบางครั้งนำไปสู่การทำสำนวนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ชุดเคลื่อนที่เร็วที่คอยป้องปรามหาข่าว โดยขอความร่วมมือจากตำรวจลงพื้นที่ด้วยการใช้โทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้ออกไปลงพื้นที่จริง จึงทำให้ไม่ทันเหตุการณ์และเสียงบประมาณ อีกทั้งการสืบสวนสอบสวนหาข่าวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถรู้ฐานข้อมูลผู้ที่กระทำผิดที่เกี่ยวกับนักการเมืองหรือผู้ที่กระทำผิดอย่างไร การทำสำนวนสืบสวนสอบสวนขาดประสิทธิภาพ ทำให้สำนวนบางสำนวนไม่ครบ และเรื่องของพยานในสำนวนเสนอให้มีการแก้ไขบทรับโทษพยานที่ให้ข้อมูล เพราะพยานเหล่านี้ไม่กล้าให้ข้อมูล ทำให้สำนวนอ่อนลงไป
อย่างไรก็ตาม การที่เรื่องสืบสวนสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ กกต. ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องไปอาศัยบุคคลากรนอกองค์กร ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับบุคคลเหล่านั้น หลายคนคิดว่าเป็นงานฝาก จึงทำให้งานด้านสืบสวนสอบสวนไม่ดีพอ ขณะที่ข้อเสนอจากด้านการมีส่วนร่วม เห็นว่า ควรจะเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยเฉพาะองค์กรเอกชนให้มากขึ้น พัฒนาศักยภาพองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยให้การทำงานได้ผลยิ่งขึ้น ส่วนการเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์ที่ให้ผู้สมัครแต่ละคนดื่นน้ำสาบานเห็นว่าไม่ได้ผล เพราะผู้สมัครบางรายไม่ได้ให้ความสำคัญ และรูปในการจัดโครงการก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเสนอให้องค์กรส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้นำศาสนา พระสงฆ์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ขณะที่ นางสดศรีกล่าวว่า ตลอดระยะ 4 ปีที่กกต.จว.มาทำงานร่วมกับสำนักงาน กกต.กลาง ความรู้สึกของ กกต.กลาง เรารู้สึกว่าเป็นเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันช้า และรู้สึกว่าเมื่อไรจะครบ 7 ปี ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เบื่องาน กกต. แต่งาน กกต.เป็นงานที่ต้องเผชิญต่อสิ่งที่ถูกกดดันต่างๆมากมาย เพราะบ้านเมืองของเรามีการแบ่งแยกที่ชัดเจน การทำงาน กกต.ยิ่งลำบากมากขึ้น เมื่อทำงานให้พอใจฝ่ายใด อีกฝ่ายก็ไม่พอใจ ดังนั้นการทำงานของ กกต. ไม่ว่ากกต.กลางหรือ กกต.จว.เป็นงานที่ยากยิ่ง
“ในการทำหน้าที่ของ กกต.ก็เปรียบเสมือนว่าเรากำลังนั่งบนหลังเสือที่ไม่สามารถจะลงได้ เพราะลงเมื่อไรเสือก็จะกัด ดังนั้น เราต้องอดทนทำงานต่อไป และอายุการทำงานของพวกเราก็ 7 ปีถือว่าเป็นเวลาพอสมควร แม้อนาคตข้างหน้าอาจไม่ถึง 7 ปี ทุกวันนี้ กกต.ถูกข่มขู่จะยุบบ้างและถอดถอนบ้างเป็นธรรมดา ก็ดีจะได้กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เพราะถอดถอนก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ถ้าคิดว่าการเมืองมีความพยายามแทรกแซงและเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานของ กกต.แล้ว หากพิจารณาแล้วองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกกต.เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติก็ควรพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ดิฉันไม่ได้หวังว่าจะอยู่ครบเทอมและไม่คิดว่าเราจะสามารถยืนหยัดได้ในองค์กรนี้ตลอดไป ดังนั้น ท่านที่ผ่านพ้นวาระ 4 ปีแล้วถือว่าท่านโชคดี ที่จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ สำหรับ กกต.กลางต้องทำหน้าที่ต่อไป เนื่องจากเหลือเวลาอีกกว่า 2 ปี และวาระที่เรายืนอยู่จะยืนได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม การเมืองจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าวิกฤตการเมืองจะต้องไม่เกิดจาก กกต. จะทำอะไรก็ไม่ใช่มาจากกกต. ดังนั้น สิ่งที่จะดำรงอยู่ต่อไปข้างหน้า เราหวังว่าองค์กร กกต.จะสามารถอยู่ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านทั้งหลายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ กกต. ท่านคงเป็นกำลังใจให้ กกต.รุ่นต่อไปได้ทำด้วยความสำเร็จลุล่วงด้วยดี และหวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้ประสบภาวะการทำงานในการเลือกตั้งใหญ่ 2 ครั้งนับว่าโชคดี เพราะท่านได้ดูแลเลือกตั้ง 2 ครั้งก็โชคดี ดิฉันขอขอบคุณที่เสียสละดูแลสำนักงาน กกต.” นางสดศรีกล่าว
วันนี้ (4 ก.ย.) ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี สำนักงานคณะกรรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดโครงการสัมมนา กกต.ประจำจังหวัด ประจำปี 2554 เนื่องในโอกาสที่ กกต.จังหวัดจำนวน 62 จังหวัดได้พ้นวาระการดำรงตำแหน่ง โดยมีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ และนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เข้าร่วม ทั้งนี้ ในการสัมมนาได้มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อสะท้อนความเห็นการทำงานของ กกต.จังหวัดที่ผ่านมา พร้อมกับนำเสนอแนวทางการจัดการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพต่อไป โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการภายในองค์กรทั้งเรื่องบุคคลกร และองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ อาทิ กลุ่มงานพรรคการเมืองมีความเห็นว่าปัจจุบันสาขาพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้มีการดำเนินกิจกรรมอย่างแท้จริง บางแห่งอยู่ในสถานที่ตั้งไม่เหมาะสม เช่น ร้านซ่อมจักรยาน หรือบ้านคนธรรมดาที่ถูกหลอกให้เปิดสาขาพรรค ดังนั้นจึงอยากเสนอให้มีการออกระเบียบให้มีการจัดกิจกรรมที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม เช่น นักการเมืองที่ลาออกโดยไม่จำเป็นขณะที่ได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งควรจะมีกฎหมายเอาผิดนักการเมืองที่ลาออกก่อนครบวาระ เพราะส่วนใหญ่พบว่านักการเมืองลาออกที่ได้เปรียบทางการเมือง โดยไม่จำเป็นเพื่อออกไปและกลับมาสมัครใหม่ ทำให้เป็นภาระในการจัดการเลือกตั้งของ กกต. จึงเสนอให้ผู้ที่ลาออกก่อนครบวาระห้ามมาสมัครภายใน 1 ปี และเลื่อนผู้ที่ได้ลำดับคะแนนที่ 2 ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง
ในส่วนของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. และท้องถิ่นที่ผ่านมา กกต.จังหวัดเห็นว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งด้วยการกำหนดประชากรเลือกตั้ง โดยใช้วิธีประชาคมนั้นเป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองแทรกแซงการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตัวเอง ทำให้การแบ่งเขตการเลือกตั้งไม่เหมาะสม ขณะที่งานด้านสืบสวนสอบสวน เห็นการทำหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวน มีปัญหาจนบางครั้งนำไปสู่การทำสำนวนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ชุดเคลื่อนที่เร็วที่คอยป้องปรามหาข่าว โดยขอความร่วมมือจากตำรวจลงพื้นที่ด้วยการใช้โทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้ออกไปลงพื้นที่จริง จึงทำให้ไม่ทันเหตุการณ์และเสียงบประมาณ อีกทั้งการสืบสวนสอบสวนหาข่าวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถรู้ฐานข้อมูลผู้ที่กระทำผิดที่เกี่ยวกับนักการเมืองหรือผู้ที่กระทำผิดอย่างไร การทำสำนวนสืบสวนสอบสวนขาดประสิทธิภาพ ทำให้สำนวนบางสำนวนไม่ครบ และเรื่องของพยานในสำนวนเสนอให้มีการแก้ไขบทรับโทษพยานที่ให้ข้อมูล เพราะพยานเหล่านี้ไม่กล้าให้ข้อมูล ทำให้สำนวนอ่อนลงไป
อย่างไรก็ตาม การที่เรื่องสืบสวนสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ กกต. ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องไปอาศัยบุคคลากรนอกองค์กร ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับบุคคลเหล่านั้น หลายคนคิดว่าเป็นงานฝาก จึงทำให้งานด้านสืบสวนสอบสวนไม่ดีพอ ขณะที่ข้อเสนอจากด้านการมีส่วนร่วม เห็นว่า ควรจะเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยเฉพาะองค์กรเอกชนให้มากขึ้น พัฒนาศักยภาพองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยให้การทำงานได้ผลยิ่งขึ้น ส่วนการเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์ที่ให้ผู้สมัครแต่ละคนดื่นน้ำสาบานเห็นว่าไม่ได้ผล เพราะผู้สมัครบางรายไม่ได้ให้ความสำคัญ และรูปในการจัดโครงการก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเสนอให้องค์กรส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้นำศาสนา พระสงฆ์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ขณะที่ นางสดศรีกล่าวว่า ตลอดระยะ 4 ปีที่กกต.จว.มาทำงานร่วมกับสำนักงาน กกต.กลาง ความรู้สึกของ กกต.กลาง เรารู้สึกว่าเป็นเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันช้า และรู้สึกว่าเมื่อไรจะครบ 7 ปี ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เบื่องาน กกต. แต่งาน กกต.เป็นงานที่ต้องเผชิญต่อสิ่งที่ถูกกดดันต่างๆมากมาย เพราะบ้านเมืองของเรามีการแบ่งแยกที่ชัดเจน การทำงาน กกต.ยิ่งลำบากมากขึ้น เมื่อทำงานให้พอใจฝ่ายใด อีกฝ่ายก็ไม่พอใจ ดังนั้นการทำงานของ กกต. ไม่ว่ากกต.กลางหรือ กกต.จว.เป็นงานที่ยากยิ่ง
“ในการทำหน้าที่ของ กกต.ก็เปรียบเสมือนว่าเรากำลังนั่งบนหลังเสือที่ไม่สามารถจะลงได้ เพราะลงเมื่อไรเสือก็จะกัด ดังนั้น เราต้องอดทนทำงานต่อไป และอายุการทำงานของพวกเราก็ 7 ปีถือว่าเป็นเวลาพอสมควร แม้อนาคตข้างหน้าอาจไม่ถึง 7 ปี ทุกวันนี้ กกต.ถูกข่มขู่จะยุบบ้างและถอดถอนบ้างเป็นธรรมดา ก็ดีจะได้กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เพราะถอดถอนก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ถ้าคิดว่าการเมืองมีความพยายามแทรกแซงและเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานของ กกต.แล้ว หากพิจารณาแล้วองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกกต.เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติก็ควรพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ดิฉันไม่ได้หวังว่าจะอยู่ครบเทอมและไม่คิดว่าเราจะสามารถยืนหยัดได้ในองค์กรนี้ตลอดไป ดังนั้น ท่านที่ผ่านพ้นวาระ 4 ปีแล้วถือว่าท่านโชคดี ที่จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ สำหรับ กกต.กลางต้องทำหน้าที่ต่อไป เนื่องจากเหลือเวลาอีกกว่า 2 ปี และวาระที่เรายืนอยู่จะยืนได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม การเมืองจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าวิกฤตการเมืองจะต้องไม่เกิดจาก กกต. จะทำอะไรก็ไม่ใช่มาจากกกต. ดังนั้น สิ่งที่จะดำรงอยู่ต่อไปข้างหน้า เราหวังว่าองค์กร กกต.จะสามารถอยู่ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านทั้งหลายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ กกต. ท่านคงเป็นกำลังใจให้ กกต.รุ่นต่อไปได้ทำด้วยความสำเร็จลุล่วงด้วยดี และหวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้ประสบภาวะการทำงานในการเลือกตั้งใหญ่ 2 ครั้งนับว่าโชคดี เพราะท่านได้ดูแลเลือกตั้ง 2 ครั้งก็โชคดี ดิฉันขอขอบคุณที่เสียสละดูแลสำนักงาน กกต.” นางสดศรีกล่าว