เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (4 ก.ย. ) ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี สำนักงานคณะกรรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดโครงการสัมมนา กกต. ประจำจังหวัด ประจำปี 2554 เนื่องในโอกาสที่ กกต.จังหวัดจำนวน 62 จังหวัด ได้พ้นวาระการดำรงตำแหน่ง โดยมีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ และนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เข้าร่วม
ทั้งนี้ ในการสัมมนาได้มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อสะท้อนความเห็นการทำงานของ กกต.จังหวัดที่ผ่านมา พร้อมกับนำเสนอแนวทางการจัดการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพต่อไป โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการภายในองค์กร ทั้งเรื่องบุคคลกร และองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ยังมีการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ อาทิ กลุ่มงานพรรคการเมือง มีความเห็นว่าปัจจุบันสาขาพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้มีการดำเนินกิจกรรมอย่างแท้จริง บางแห่งอยู่ในสถานที่ตั้งไม่เหมาะสม เช่น ร้านซ่อมจักรยาน หรือบ้านคนธรรมดาที่ถูกหลอกให้เปิดสาขาพรรค
ดังนั้นจึงอยากเสนอให้มีการออกระเบียบให้มีการจัดกิจกรรมที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม เช่น นักการเมืองที่ลาออกโดยไม่จำเป็น ขณะที่ได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งควรจะมีกฎหมายเอาผิดนักการเมืองที่ลาออกก่อนครบวาระ เพราะส่วนใหญ่พบว่า นักการเมืองลาออกที่ได้เปรียบทางการเมืองโดยไม่จำเป็นเพื่อออกไป และกลับมาสมัครใหม่ ทำให้เป็นภาระในการจัดการเลือกตั้งของกกต. จึงเสนอให้ผู้ที่ลาออกก่อนครบวาระ ห้ามมาสมัครภายใน 1 ปี และเลื่อนผู้ที่ได้ลำดับคะแนนที่ 2 ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง
ในส่วนของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว. และท้องถิ่น ที่ผ่านมา กกต.จังหวัดเห็นว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งด้วยการกำหนดประชากรเลือกตั้ง โดยใช้วิธีประชาคมนั้น เป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองแทรกแซงการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตัวเอง ทำให้การแบ่งเขตการเลือกตั้งไม่เหมาะสม
ขณะที่งานด้านสืบสวนสอบสวน เห็นว่า การทำหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนมีปัญหาจนบางครั้งนำไปสู่การทำสำนวนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ชุดเคลื่อนที่เร็วที่คอยป้องปรามหาข่าว โดยขอความร่วมมือจากตำรวจลงพื้นที่ด้วยการใช้โทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้ออกไปลงพื้นที่จริง จึงทำให้ไม่ทันเหตุการณ์ และเสียงบประมาณ อีกทั้งการสืบสวนสอบสวนหาข่าวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถรู้ฐานข้อมูลผู้ที่กระทำผิดที่เกี่ยวกับนักการเมือง หรือผู้ที่กระทำผิดอย่างไร การทำสำนวนสืบสวนสอบสวนขาดประสิทธิภาพ ทำให้สำนวนบางสำนวนไม่ครบ และเรื่องของพยานในสำนวนเสนอให้มีการแก้ไขบทรับโทษพยานที่ให้ข้อมูล เพราะพยานเหล่านี้ไม่กล้าให้ข้อมูล ทำให้สำนวนอ่อนลงไป
อย่างไรก็ตาม การที่เรื่องสืบสวนสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ กกต.ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องไปอาศัยบุคคลากรนอกองค์กร ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับบุคคลเหล่านั้น หลายคนคิดว่าเป็นงานฝาก จึงทำให้งานด้านสืบสวนสอบสวนไม่ดีพอ
ขณะที่ข้อเสนอจากด้านการมีส่วนร่วม เห็นว่า ควรจะเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยเฉพาะองค์กรเอกชนให้มากขึ้น พัฒนาศักยภาพองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยให้การทำงานได้ผลยิ่งขึ้น
ส่วนการเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์ ที่ให้ผู้สมัครแต่ละคนดื่นน้ำสาบาน เห็นว่าไม่ได้ผล เพราะผู้สมัครบางรายไม่ได้ให้ความสำคัญ และรูปแบบในการจัดโครงการ ก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเสนอให้องค์กรส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้นำศาสนา พระสงฆ์ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ด้านนางสดศรี กล่าวว่า ตลอดระยะ 4 ปี ที่กกต.จว.มาทำงานร่วมกับสำนักงาน กกต. กลาง ความรู้สึกของกกต.กลาง เรารู้สึกว่าเป็นเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันช้า และรู้สึกว่าเมื่อไรจะครบ 7 ปี ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เบื่องานกกต. แต่งานกกต.เป็นงานที่ต้องเผชิญต่อสิ่งที่ถูกกดดันต่างๆ มากมาย เพราะบ้านเมืองของเรามีการแบ่งแยกที่ชัดเจน การทำงานกกต.ยิ่งลำบากมากขึ้น เมื่อทำงานให้พอใจฝ่ายใด อีกฝ่ายก็ไม่พอใจ ดังนั้นการทำงานของกกต. ไม่ว่ากกต.กลางหรือกกต.จว. จึงเป็นงานที่ยากยิ่ง
"ในการทำหน้าที่ของกกต. ก็เปรียบเสมือนว่าเรากำลังนั่งบนหลังเสือที่ไม่สามารถจะลงได้ เพราะลงเมื่อไร เสือก็จะกัด ดังนั้นเราต้องอดทนทำงานต่อไป และอายุการทำงานของพวกเราก็ 7 ปีถือว่าเป็นเวลาพอสมควร แม้อนาคตข้างหน้าอาจไม่ถึง 7 ปี ทุกวันนี้ กกต.ถูกข่มขู่จะยุบบ้างและถอดถอนบ้างเป็นธรรมดา ก็ดีจะได้กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เพราะถอดถอนก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ถ้าคิดว่าการเมืองมีความพยายามแทรกแซง และเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานของกกต.แล้ว หากพิจารณาแล้ว องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกกต.เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติก็ควรพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ดิฉันไม่ได้หวังว่าจะอยู่ครบเทอม และไม่คิดว่าเราจะสามารถยืนหยัดได้ ในองค์กรนี้ตลอดไป ดังนั้นท่านที่ผ่านพ้นวาระ 4 ปี แล้วถือว่าท่านโชคดี ที่จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ สำหรับกกต.กลาง ต้องทำหน้าที่ต่อไป เนื่องจากเหลือเวลาอีกกว่า 2 ปี และวาระที่เรายืนอยู่จะยืนได้หรือไม่ ก็ไม่ทราบ อย่างไรก็ตามการเมืองจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าวิกฤตการเมืองจะต้องไม่เกิดจาก กกต. จะทำอะไรก็ไม่ใช่มาจากกกต. ดังนั้นสิ่งที่จะดำรงอยู่ต่อไปข้างหน้า เราหวังว่าองค์กร กกต.จะสามารถอยู่ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกกต. ท่านคงเป็นกำลังใจให้กกต.รุ่นต่อไปได้ทำงานด้วยความสำเร็จลุล่วงด้วยดี และหวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้ประสบภาวะการทำงานในการเลือกตั้งใหญ่ 2 ครั้ง นับว่าโชคดี เพราะท่านได้ดูแลเลือกตั้ง 2 ครั้ง ก็โชคดี ดิฉันขอขอบคุณที่เสียสละดูแลสำนักงานกกต." นางสดศรี กล่าว
** "เจ๊สด"ผวาถูกยื่นถอดถอน
ต่อมานางสดศรี ได้ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการสัมมนากกต.จังหวัด ถึงอนาคต กกต.หลังมีรัฐบาลชุดใหม่ว่า หากการเมืองประสงค์ให้กกต.ชุดนี้ทำงานต่อไป เราก็ทำงานต่อ เว้นแต่ว่าจะมีการถอดถอน กกต. แม้ว่าการถอดถอนจะเป็นอำนาจสภาผู้แทนราษฎร แต่ กกต.ก็มีสิทธิที่จะโต้แย้ง ซึ่งการถอดถอนกกต.ไม่ใช่อยู่ดีๆ เปลี่ยนขั้วทางการเมืองแล้วจะมาถอดถอนกกต.ว่าจะต้องมีเหตุผลว่า กกต.ทำอะไรผิดพลาด หรือทำอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้กกต.ก็ทบทวนบทบาทของตนเอง ว่าได้ดำเนินการอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมีการเสนอให้มีการถอดถอน กกต.นั้นต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ไม่ใช่ว่าจะรวมหัวถอดถอนกกต. ทั้งนี้กกต. พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง อะไรเปลี่ยนแปลง เราก็รับได้ทุกอย่าง
" อะไรก็เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง ประวัติศาสตร์อาจจะย้อนรอยหรือไม่ก็ได้ กกต.ต้องดูว่าวิกฤตการเมืองครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นจากส่วนอื่น หรือองคาพยพอื่นไม่ใช่มาจากกต. เราต้องพยายามรักษาสถาบันกกต.ไว้ ถ้าจะมีเหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองอยากให้พรรคการเมืองต่างๆและรัฐบาลใหม่ช่วยดูความถูกต้องในการทำงานของกกต. การที่กกต.ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถดึงไปอยู่ในส่วนไหนของพรรคการเมืองได้ กกต.เป็นองค์กรอิสระ ไม่ได้อยู่ในการครอบงำของพรรคการเมืองใดจึงอยากให้พิจารณาการทำงานของกกต.ในภาวะที่อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยกกต.จะทำงานอย่างเป็นกลางที่สุด” นางสดศรี กล่าว
เมื่อถามว่ามีสัญญาณพิเศษจากพรรคการเมืองว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเดือนธ.ค.นี้ นางสดศรี กล่าวว่า สัญญาณพิเศษที่จะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.หรือ ไม่ต้องไปถามนักการเมืองคนที่พูด สำหรับกกต.จะพิจารณางานไปตามครรลองของกฎหมายทุกประการ การที่จะใช้อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจาก กกต. จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนกรณีที่มีการพูดว่า จะมีการเช็คบิลกกต.นั้น นางสดศรี กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่พูดว่าจะมีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ใช่การแก้แค้น ถือว่าเป็นสัญญาประชาคม เมื่อพรรคใดเป็นรัฐบาลได้ว่าหลักเกณฑ์จะไม่มีการแก้แค้น แต่จะมีการแก้ไข ขณะนี้ประชาชนกำลังรอดูการทำงานของรัฐบาลว่า ทำตามสัญญาประชาคมเหล่านี้หรือไม่ ในส่วนกกต.ยอมรับว่าการทำงานของเราในขณะนี้ยากมาก และเป็นเรื่องที่เราจะต้องไม่ทำตามกระแสของการเมือง โดยยึดกฎหมายเป็นหลักในการทำงาน ขอยืนยันว่ากกต.ทำงานด้วยความโปร่งใส สุจริต และเที่ยงธรรม หากจะมีการยื่นถอดถอนหรือไม่ ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับเรา เพราะสามารถพิสูจน์การทำงานของกกต.ได้
เมื่อถามว่า อาจจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจของ กกต. นางสดศรี กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร เป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่มีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ส่วนแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ให้บ้านเมืองดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นอานิสงส์ แต่หากแก้ไขแล้วทำให้บ้านเมืองเกิดความรุนแรง ก็จะต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยุบ กกต.และองค์กรอิสระอื่นนั้นทำแล้วได้อะไรขึ้นมา เนื่องจากประเทศสากลก็มีองค์กรอิสระ
ทั้งนี้ ในการสัมมนาได้มีการแบ่งกลุ่ม เพื่อสะท้อนความเห็นการทำงานของ กกต.จังหวัดที่ผ่านมา พร้อมกับนำเสนอแนวทางการจัดการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพต่อไป โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการภายในองค์กร ทั้งเรื่องบุคคลกร และองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ยังมีการสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับงานด้านต่างๆ อาทิ กลุ่มงานพรรคการเมือง มีความเห็นว่าปัจจุบันสาขาพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ได้มีการดำเนินกิจกรรมอย่างแท้จริง บางแห่งอยู่ในสถานที่ตั้งไม่เหมาะสม เช่น ร้านซ่อมจักรยาน หรือบ้านคนธรรมดาที่ถูกหลอกให้เปิดสาขาพรรค
ดังนั้นจึงอยากเสนอให้มีการออกระเบียบให้มีการจัดกิจกรรมที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม เช่น นักการเมืองที่ลาออกโดยไม่จำเป็น ขณะที่ได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งควรจะมีกฎหมายเอาผิดนักการเมืองที่ลาออกก่อนครบวาระ เพราะส่วนใหญ่พบว่า นักการเมืองลาออกที่ได้เปรียบทางการเมืองโดยไม่จำเป็นเพื่อออกไป และกลับมาสมัครใหม่ ทำให้เป็นภาระในการจัดการเลือกตั้งของกกต. จึงเสนอให้ผู้ที่ลาออกก่อนครบวาระ ห้ามมาสมัครภายใน 1 ปี และเลื่อนผู้ที่ได้ลำดับคะแนนที่ 2 ขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง
ในส่วนของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว. และท้องถิ่น ที่ผ่านมา กกต.จังหวัดเห็นว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งด้วยการกำหนดประชากรเลือกตั้ง โดยใช้วิธีประชาคมนั้น เป็นการเปิดช่องให้นักการเมืองแทรกแซงการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของตัวเอง ทำให้การแบ่งเขตการเลือกตั้งไม่เหมาะสม
ขณะที่งานด้านสืบสวนสอบสวน เห็นว่า การทำหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนมีปัญหาจนบางครั้งนำไปสู่การทำสำนวนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ชุดเคลื่อนที่เร็วที่คอยป้องปรามหาข่าว โดยขอความร่วมมือจากตำรวจลงพื้นที่ด้วยการใช้โทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้ออกไปลงพื้นที่จริง จึงทำให้ไม่ทันเหตุการณ์ และเสียงบประมาณ อีกทั้งการสืบสวนสอบสวนหาข่าวที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถรู้ฐานข้อมูลผู้ที่กระทำผิดที่เกี่ยวกับนักการเมือง หรือผู้ที่กระทำผิดอย่างไร การทำสำนวนสืบสวนสอบสวนขาดประสิทธิภาพ ทำให้สำนวนบางสำนวนไม่ครบ และเรื่องของพยานในสำนวนเสนอให้มีการแก้ไขบทรับโทษพยานที่ให้ข้อมูล เพราะพยานเหล่านี้ไม่กล้าให้ข้อมูล ทำให้สำนวนอ่อนลงไป
อย่างไรก็ตาม การที่เรื่องสืบสวนสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ กกต.ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องไปอาศัยบุคคลากรนอกองค์กร ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับบุคคลเหล่านั้น หลายคนคิดว่าเป็นงานฝาก จึงทำให้งานด้านสืบสวนสอบสวนไม่ดีพอ
ขณะที่ข้อเสนอจากด้านการมีส่วนร่วม เห็นว่า ควรจะเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยเฉพาะองค์กรเอกชนให้มากขึ้น พัฒนาศักยภาพองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยให้การทำงานได้ผลยิ่งขึ้น
ส่วนการเลือกตั้งเชิงสมานฉันท์ ที่ให้ผู้สมัครแต่ละคนดื่นน้ำสาบาน เห็นว่าไม่ได้ผล เพราะผู้สมัครบางรายไม่ได้ให้ความสำคัญ และรูปแบบในการจัดโครงการ ก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงเสนอให้องค์กรส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้นำศาสนา พระสงฆ์ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ด้านนางสดศรี กล่าวว่า ตลอดระยะ 4 ปี ที่กกต.จว.มาทำงานร่วมกับสำนักงาน กกต. กลาง ความรู้สึกของกกต.กลาง เรารู้สึกว่าเป็นเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันช้า และรู้สึกว่าเมื่อไรจะครบ 7 ปี ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เบื่องานกกต. แต่งานกกต.เป็นงานที่ต้องเผชิญต่อสิ่งที่ถูกกดดันต่างๆ มากมาย เพราะบ้านเมืองของเรามีการแบ่งแยกที่ชัดเจน การทำงานกกต.ยิ่งลำบากมากขึ้น เมื่อทำงานให้พอใจฝ่ายใด อีกฝ่ายก็ไม่พอใจ ดังนั้นการทำงานของกกต. ไม่ว่ากกต.กลางหรือกกต.จว. จึงเป็นงานที่ยากยิ่ง
"ในการทำหน้าที่ของกกต. ก็เปรียบเสมือนว่าเรากำลังนั่งบนหลังเสือที่ไม่สามารถจะลงได้ เพราะลงเมื่อไร เสือก็จะกัด ดังนั้นเราต้องอดทนทำงานต่อไป และอายุการทำงานของพวกเราก็ 7 ปีถือว่าเป็นเวลาพอสมควร แม้อนาคตข้างหน้าอาจไม่ถึง 7 ปี ทุกวันนี้ กกต.ถูกข่มขู่จะยุบบ้างและถอดถอนบ้างเป็นธรรมดา ก็ดีจะได้กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เพราะถอดถอนก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ถ้าคิดว่าการเมืองมีความพยายามแทรกแซง และเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานของกกต.แล้ว หากพิจารณาแล้ว องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกกต.เป็นการทำงานเพื่อประเทศชาติก็ควรพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ดิฉันไม่ได้หวังว่าจะอยู่ครบเทอม และไม่คิดว่าเราจะสามารถยืนหยัดได้ ในองค์กรนี้ตลอดไป ดังนั้นท่านที่ผ่านพ้นวาระ 4 ปี แล้วถือว่าท่านโชคดี ที่จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ สำหรับกกต.กลาง ต้องทำหน้าที่ต่อไป เนื่องจากเหลือเวลาอีกกว่า 2 ปี และวาระที่เรายืนอยู่จะยืนได้หรือไม่ ก็ไม่ทราบ อย่างไรก็ตามการเมืองจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าวิกฤตการเมืองจะต้องไม่เกิดจาก กกต. จะทำอะไรก็ไม่ใช่มาจากกกต. ดังนั้นสิ่งที่จะดำรงอยู่ต่อไปข้างหน้า เราหวังว่าองค์กร กกต.จะสามารถอยู่ได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกกต. ท่านคงเป็นกำลังใจให้กกต.รุ่นต่อไปได้ทำงานด้วยความสำเร็จลุล่วงด้วยดี และหวังว่าท่านทั้งหลายที่ได้ประสบภาวะการทำงานในการเลือกตั้งใหญ่ 2 ครั้ง นับว่าโชคดี เพราะท่านได้ดูแลเลือกตั้ง 2 ครั้ง ก็โชคดี ดิฉันขอขอบคุณที่เสียสละดูแลสำนักงานกกต." นางสดศรี กล่าว
** "เจ๊สด"ผวาถูกยื่นถอดถอน
ต่อมานางสดศรี ได้ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการสัมมนากกต.จังหวัด ถึงอนาคต กกต.หลังมีรัฐบาลชุดใหม่ว่า หากการเมืองประสงค์ให้กกต.ชุดนี้ทำงานต่อไป เราก็ทำงานต่อ เว้นแต่ว่าจะมีการถอดถอน กกต. แม้ว่าการถอดถอนจะเป็นอำนาจสภาผู้แทนราษฎร แต่ กกต.ก็มีสิทธิที่จะโต้แย้ง ซึ่งการถอดถอนกกต.ไม่ใช่อยู่ดีๆ เปลี่ยนขั้วทางการเมืองแล้วจะมาถอดถอนกกต.ว่าจะต้องมีเหตุผลว่า กกต.ทำอะไรผิดพลาด หรือทำอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้กกต.ก็ทบทวนบทบาทของตนเอง ว่าได้ดำเนินการอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากมีการเสนอให้มีการถอดถอน กกต.นั้นต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ไม่ใช่ว่าจะรวมหัวถอดถอนกกต. ทั้งนี้กกต. พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง อะไรเปลี่ยนแปลง เราก็รับได้ทุกอย่าง
" อะไรก็เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง ประวัติศาสตร์อาจจะย้อนรอยหรือไม่ก็ได้ กกต.ต้องดูว่าวิกฤตการเมืองครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นจากส่วนอื่น หรือองคาพยพอื่นไม่ใช่มาจากกต. เราต้องพยายามรักษาสถาบันกกต.ไว้ ถ้าจะมีเหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองอยากให้พรรคการเมืองต่างๆและรัฐบาลใหม่ช่วยดูความถูกต้องในการทำงานของกกต. การที่กกต.ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถดึงไปอยู่ในส่วนไหนของพรรคการเมืองได้ กกต.เป็นองค์กรอิสระ ไม่ได้อยู่ในการครอบงำของพรรคการเมืองใดจึงอยากให้พิจารณาการทำงานของกกต.ในภาวะที่อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยกกต.จะทำงานอย่างเป็นกลางที่สุด” นางสดศรี กล่าว
เมื่อถามว่ามีสัญญาณพิเศษจากพรรคการเมืองว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเดือนธ.ค.นี้ นางสดศรี กล่าวว่า สัญญาณพิเศษที่จะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.หรือ ไม่ต้องไปถามนักการเมืองคนที่พูด สำหรับกกต.จะพิจารณางานไปตามครรลองของกฎหมายทุกประการ การที่จะใช้อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจาก กกต. จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนกรณีที่มีการพูดว่า จะมีการเช็คบิลกกต.นั้น นางสดศรี กล่าวว่า รัฐบาลชุดใหม่พูดว่าจะมีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ใช่การแก้แค้น ถือว่าเป็นสัญญาประชาคม เมื่อพรรคใดเป็นรัฐบาลได้ว่าหลักเกณฑ์จะไม่มีการแก้แค้น แต่จะมีการแก้ไข ขณะนี้ประชาชนกำลังรอดูการทำงานของรัฐบาลว่า ทำตามสัญญาประชาคมเหล่านี้หรือไม่ ในส่วนกกต.ยอมรับว่าการทำงานของเราในขณะนี้ยากมาก และเป็นเรื่องที่เราจะต้องไม่ทำตามกระแสของการเมือง โดยยึดกฎหมายเป็นหลักในการทำงาน ขอยืนยันว่ากกต.ทำงานด้วยความโปร่งใส สุจริต และเที่ยงธรรม หากจะมีการยื่นถอดถอนหรือไม่ ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับเรา เพราะสามารถพิสูจน์การทำงานของกกต.ได้
เมื่อถามว่า อาจจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจของ กกต. นางสดศรี กล่าวว่า ก็ไม่เป็นไร เป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่มีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ส่วนแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ให้บ้านเมืองดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นอานิสงส์ แต่หากแก้ไขแล้วทำให้บ้านเมืองเกิดความรุนแรง ก็จะต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยุบ กกต.และองค์กรอิสระอื่นนั้นทำแล้วได้อะไรขึ้นมา เนื่องจากประเทศสากลก็มีองค์กรอิสระ