อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน
ขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย พร่ำบอกมาแต่ไหนแต่ไรว่าไม่เกี่ยวอะไรกับ “คนเสื้อแดง” แต่ภาพที่ปรากฏต่อสังคมคือ การปูนบำเหน็จให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นที่ปรึกษา-เลขาฯ รัฐมนตรีนับสิบคน โดยไม่สนว่าคนเหล่านั้นมีคดีอะไรติดตัวอยู่บ้าง ทั้งข้อหาก่อการร้าย ไปจนถึงคดีหมิ่นสถาบัน ความ “ใหญ่คับฟ้า”ของคนเสื้อแดงไม่เพียงปรากฏในสภาเท่านั้น แต่นอกสภา ก็ปรากฏกองกำลังของ “คนเสื้อแดง”ที่พร้อมรุมยำ-ข่มขู่คุกคามคนที่มีความเห็นต่าง ไม่เว้นแม้กระทั่ง “สื่อมวลชน”
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้ไม่กี่วัน แต่สังคมเริ่มเห็นบรรยากาศที่ดูเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปแล้ว จากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งทำตัวเสมือนอันธพาลข่มขู่คุกคามใช้กำลังกับผู้ที่มีความคิดเห็นต่างจากพวกตน สังเกตได้จากกรณี 2 อดีตนักศึกษานำพวงหรีดไปวางที่หน้ารัฐสภาเพื่อตำหนินายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ว่าทำหน้าที่ประธานรัฐสภาอย่างไม่เป็นกลาง ด้วยข้อความว่า “แด่ท่านประธานสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้เป็นกลางดวงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากชมรมนักศึกษาผู้รักประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นผลจากการที่นายสมศักดิ์ช่วยพรรคเพื่อไทยปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการห้ามพรรคฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิง พ.ต.ท.ทักษิณ ระหว่างอภิปรายนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง แต่กลุ่มเสื้อแดงหน้าสภาไม่พอใจ จึงรุมยำ 2 นักศึกษาเข้าให้
ไม่ใช่แค่ประชาชนหรือนักศึกษาเท่านั้น แม้แต่นักข่าวที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนก็ไม่วายถูกคนเสื้อแดงข่มขู่คุกคามเช่นกัน เพียงเพราะคนเสื้อแดงไม่พอใจที่นักข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 คนหนึ่งถามคำถามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่อยากตอบ จนต้องเดินหนี เพียงแค่นั้นคนเสื้อแดงถึงกับเป็นเดือดเป็นร้อนแทน และปฏิบัติการข่มขู่นักข่าวตามมา โดยมีการโพสต์รูปภาพพร้อมชื่อ-นามสกุลของนักข่าวขึ้นเว็บไซต์ พร้อมข้อความว่า “เปิดโฉมหน้านักข่าวที่ทำให้นายกปูเดินหนี” “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ” “เห็นที่ไหนก็จัดให้หน่อยก็แล้วกันครับ” นอกจากโพสต์ขึ้นเว็บไซต์แล้ว ยังมีการฟอร์เวิร์ดเมล์ให้พรรคพวกในเครือข่ายอีกจำนวนมาก
ด้าน น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่ถูกข่มขู่ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ ซึ่งจากการตรวจสอบพบชื่อคนที่ฟอร์เวิร์ดเมล์ คือ นางพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง จ.เพชรบุรี อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นคนส่งฟอร์เวิร์ดเมล์จริง แต่ไม่มีเจตนาข่มขู่ปองร้าย!?
แต่ผลกระทบเกิดขึ้นกับตัวนักข่าวแล้ว เพราะมีคนโทรศัพท์มาด่าทอและข่มขู่จำนวนมาก และเมื่อ น.ส.สมจิตต์ยืนยันไม่ถอนแจ้งความ เพราะต้องการให้เป็นคดีตัวอย่าง คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งก็ปฏิบัติการข่มขู่คุกคามซ้ำด้วยการบุกไปสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 จี้ให้ทางสถานีปลด น.ส.สมจิตต์ออกจากการเป็นผู้สื่อข่าว พร้อมกดดันให้มีการถอนแจ้งความ โดยอ้างว่า สื่อกำลังคุกคามประชาชน!?
พฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ข่มขู่คุกคามทั้งสื่อและประชาชน เริ่มทำให้สังคมตกอยู่ในสภาพแห่งความหวาดกลัว ราวกับบ้านเมืองถูกปกครองด้วยอันธพาลก็ไม่ปาน พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ชี้ว่า บ้านเมืองขณะนี้เปรียบเหมือนยุคที่ 3 ของอันธพาลครองเมือง เพราะกลุ่มเสื้อแดงทำตัวเหมือนตั้งกองกำลังขึ้นมาปกป้องรัฐบาล ใครจะแตะไม่ได้ ทำให้ประชาชนตกอยู่ในความหวาดกลัว
“เราได้เห็นการครองเมืองของอันธพาลตั้งแต่ 2499 ยุคที่ 1 พอถึงยุคที่ 2 บ.ก.หนังสือพิมพ์ตะวันสยามถูกยิง คุณวันดี ทองประภา ซึ่งถูกคุกคามอย่างหนัก ตอนนั้นผมเป็น ผกก.สืบสวนว่าเรื่องนี้มันไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมันเป็นการทำเหมือนบ้านเมืองมันไม่มีขื่อมีแป ก็สืบสวนจนกระทั่งทราบว่า โส ธนวิสุทธิ์ เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ฆ่าวันดี ทองประภา ตอนนั้นจะเห็นได้ว่าวงการต่างๆ ทั้งการประกวดนางงามตุ๊กตาทอง ก็มีอิทธิพลต่างๆ และนักการเมืองก็เข้ามาเกี่ยวข้อง ใช้ประเภทมือปืนรับจ้างยิงกันอยู่เรื่อย เราไม่นึกเลยว่าวันนี้เหตุการณ์ในอดีตจะหวนกลับมาอีก ผู้สื่อข่าวช่อง 7 ที่เขาถูกข่มขู่น่ะ บ้านเมืองมันน่าจะเจริญขึ้น แต่มันก็ยังเหมือนกับว่าความปลอดภัยในชีวิตคนเรากลับไม่ปลอดภัย แม้กระทั่งนักศึกษาราชภัฎ 2 คน ที่เอาพวงหรีดไปให้ประธานสภาฯ ที่หน้าสภา ในขณะนั้นก็มีเสื้อแดงมาล็อคคอเขา อันนั้นก็ผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสื่อมเสียอิสรภาพ ผมก็ไม่ทราบว่าดำเนินการกันอย่างไร แต่มันมีพฤติการณ์เหมือนกับว่าต่อไปนี้ ถ้าใครมาแตะต้องรัฐบาล กลุ่มเสื้อแดงก็จะไม่ยอมเหมือนกับตั้งกองกำลังซ้อนกองกำลังที่เป็นผู้รักษากฎหมายขึ้นมาอีก จะมาทำงานแทนตำรวจหรืออย่างไร หรือจะมาคุกคาม ไม่ให้สิทธิเสรีภาพประชาชนหรืออย่างไร อันนี้ล่ะเป็นสิ่งที่น่ากลัว และประชาชนก็ตกอยู่ในสิ่งที่หวาดกลัวด้วย”
ขณะที่ อ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ข้อคิดเตือนสติคนเสื้อแดงว่า หากเห็นว่าใครทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็ควรจะไปแจ้งความหรือร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังหรือข่มขู่คุกคาม พร้อมแนะว่า นายกรัฐมนตรีไม่ควรนิ่งดูดายพฤติกรรมดังกล่าวของคนเสื้อแดง หาไม่แล้วจะเป็นการให้ท้าย
“ผมคิดว่า คุณสมจิตต์ ในฐานะที่เป็นผู้สื่อข่าวมีสิทธิที่จะซักถามตามหน้าที่ของตัวเอง และถ้ากลุ่มเสื้อแดงถ้าไม่พึงพอใจก็สามารถร้องเรียนหรือแจ้งความตำรวจไปเลยว่ากระทำการคุกคามนายกฯ อะไรก็ว่าไป หรือแจ้งไปทางหน่วยงานวิชาชีพของเขา ก็ทำหนังสือร้องเรียนไป ไม่ควรที่จะดำเนินการในลักษณะของการข่มขู่คุกคามผู้ที่ทำให้ตัวเองไม่พึงพอใจ ซึ่งผมว่าในประเทศที่เจริญแล้ว มักจะไม่ค่อยมี มีแต่ในบ้านเราที่เวลามีอะไรต่างๆ เขามักจะใช้กำลังมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา แทนที่จะใช้เหตุและผลหรือองค์กรทางวิชาชีพมาแก้ไขปัญหา”
“(ถาม-อ.เห็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากทางรัฐบาลบ้างมั้ย?) ไม่เห็นเลย ซึ่งเวลาเราฟังดู นักข่าวถามคุณยิ่งลักษณ์ว่า ควรที่จะมีการห้ามปรามต่างๆ หรือไม่ ก็โบ้ยไปทางคุณเฉลิมบ้าง หรือบางครั้งก็ไม่ตอบคำถามบ้าง ผมคิดว่าจริงๆ แล้ว ปัญหาเรื่องของการข่มขู่คุกคามในลักษณะแบบนี้ มันเป็นสิทธิและเสรีภาพของนักข่าว นายกฯ ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นเจ้าพนักงานเนี่ย โดยเฉพาะเป็นผู้บริหารสูงสุดในการที่จะดูแลตำรวจ ดูแลผู้ที่รักษากฎหมายอยู่ตรงนี้ ก็จะต้องมีหน้าที่ในการที่จะอย่างน้อยที่สุดต้องมีการห้ามปราม หรือสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการในลักษณะของการเข้าไปตักเตือน หรือเข้าไประงับเหตุการณ์ แต่ที่ผ่านมานายกฯ เองนอกจากไม่ทำแล้ว ก็เพิกเฉย ก็คือไม่ตอบคำถาม จึงไม่เข้าใจว่าการนิ่งในลักษณะนี้เป็นการให้สัญญาณบางอย่างว่าทำไปเถอะ นายกฯ ไม่ขัดข้อง นายกฯ ไม่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นหน้าที่”
ด้าน ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก็เตือนรัฐบาลเช่นกันว่า ยิ่งให้ท้ายคนเสื้อแดงมากเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้าย ทำให้พฤติกรรมของคนเสื้อแดงรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครจัดการ
“มันก็จะทำให้ได้ใจ ย่ามใจว่าทำอะไรแล้วก็ไม่มีใครจัดการ หรือทำอะไรได้โดยที่มีคนเชียร์ มีคนให้ท้าย ยิ่งรัฐบาลให้ท้ายด้วยก็เหมือนกับพ่อแม่ตามใจ และในที่สุดก็จะกลายเป็นผลร้าย ผมคิดว่ามันก็เป็นการเพาะปลูกวัฒนธรรมที่มันไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ และจะกลายเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคร้ายพฤติกรรมที่ย่ามใจเหล่านี้ให้รุนแรงมากขึ้น”
“(ถาม-ได้เห็นปฏิกิริยาที่จะแก้ปัญหาจากรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน ขณะที่ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลพยายามปฏิเสธว่า เพื่อไทยไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง โดยเฉพาะเวลาเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา แต่ขณะนี้ถูกมองว่ามีการปูนบำเหน็จเสื้อแดงให้นั่งที่ปรึกษา เลขาฯ รัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ยังมีคดีติดตัวกันอยู่?) เขาเรียกว่าปากกับใจไม่ตรงกัน พูดถึงคุณยิ่งลักษณ์ เรายิ่งเห็นประเด็นชัดเจนว่าไม่ค่อยประสีประสาในเรื่องเหล่านี้ ก็คือ ไม่ได้เอาใจใส่ และพูดปัดความรับผิดชอบ โดยเฉพาะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ชัดเจนว่า ให้ท้าย ส่งเสริมให้คนเสื้อแดงเข้าไปแทรกแซงตรงโน้นตรงนี้ และที่ผมคิดว่าน่าเสียดายมากๆ ในการทำหน้าที่ของคุณยิ่งลักษณ์ก็คือแกไม่ได้ทำ แต่ให้คนอื่นนั้นทำแทน เช่น คุณเฉลิมดูแลตำรวจหรือดูแลกระบวนการด้านความยุติธรรม ซึ่งจะทำให้คนเสื้อแดงยิ่งได้ใจมากขึ้น เพราะคุณเฉลิมก็รู้ว่ารับใช้คุณทักษิณสุดลิ่มทิ่มประตู แต่การอธิบายกลางสภาก็เห็นชัดแล้ว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเป็นไปอย่างนี้ ถ้ารัฐบาลไม่ระแวดระวังและไม่ได้เอาใจใส่เรื่องนี้และปล่อยให้ฮาร์ดคอร์ หรือคนอย่างคุณเฉลิมกำกับดูแล ผมคิดว่ามันน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเลย”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีคุมตำรวจ ไม่เพียงให้ท้ายคนเสื้อแดง แต่ยังต้องคอยชี้แจงเรื่องเสื้อแดงแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วย สังเกตได้จากที่ประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยได้ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรีกรณีที่คนเสื้อแดงคุกคามสื่อ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ตอบ โดยอ้างว่าป่วย แล้วให้ ร.ต.อ.เฉลิมชี้แจงแทน ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมก็ปกป้องคนเสื้อแดงตามคาด โดยชี้แจงกรณีที่คนเสื้อแดงรุมยำ 2 อดีตนักศึกษาที่ไปวางพวงหรีดหน้ารัฐสภาประณามการวางตัวไม่เป็นกลางของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ว่า เป็นแค่การแสดงความรู้สึกของคนที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ได้หีบศพกลับไป ซึ่งก็มีการแสดงอารมณ์บ้างแต่ไม่รุนแรง!?
ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงข่มขู่คุกคามนักข่าวช่อง 7 นั้น ร.ต.อ.เฉลิม ก็ชี้แจงแบบโยนผิดให้นักข่าวว่า นักข่าวตั้งคำถามนายกฯ ผิดปกติ เสมือนหนึ่งทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนข้อความที่คนเสื้อแดงฟอร์เวิร์ดเมล์ข่มขู่นักข่าวว่า “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ เจอที่ไหนก็จัดให้หน่อยแล้วกันนะครับ”นั้น ร.ต.อ.เฉลิมก็อ้างว่า ตนไปเปิดพจนานุกรมดูแล้ว ไม่เห็นว่าข้อความดังกล่าวจะเป็นการข่มขู่ตรงไหน!?
ฟังความรู้สึกของหลายฝ่ายไปแล้ว ลองมาฟังความรู้สึกของนักข่าวที่ถูกคนเสื้อแดงข่มขู่คุกคามดูบ้างว่า รู้สึกอย่างไร และไปตั้งคำถามถามนายกฯ อย่างผิดปกติตามที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวหาหรือไม่ หรือสัมภาษณ์ตามวิสัยของสื่อมวลชนที่ควรถามเพื่อหาคำตอบให้แก่สังคม น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ยืนยันว่า ที่ผ่านมาได้มีโอกาสสัมภาษณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งเป็นคำถามที่ธรรมดามากๆ ไม่ใช่คำถามที่แรงแต่อย่างใด
“โอกาสที่ได้ถามคุณยิ่งลักษณ์เนี่ย ได้ถามแค่ 2 ครั้งเอง ครั้งแรกคือวันที่มีการตั้ง ครม. วันที่ ครม.ออกมา แล้วก็วันรุ่งขึ้นน่ะ ก็ถามว่า “โฉมหน้าของ ครม.เนี่ย เห็นภาพรวมแล้ว ตัวคุณยิ่งลักษณ์คิดอย่างไร?” เป็นคำถามเปิดมากนะ หลังจากนั้นก็ถามต่อว่า “มีเสียงวิจารณ์ว่า ครม.หน้าตาขี้เหร่กว่าคุณยิ่งลักษณ์?” คุณยิ่งลักษณ์ก็บอกว่า “เหรอคะ?” จากนั้นก็ถามต่อว่า “มีเหตุผลอะไรที่แต่งตั้งคุณสุรพงษ์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ?” เขาก็ตอบว่า “มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเรื่องการค้า” ก็ถามต่อว่า “ด้านการต่างประเทศเนี่ย ทำไมถึงมุ่งไปเรื่องการค้า โดยที่คนคนนั้นไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ ซึ่งมันมีความสำคัญ?” (น.ส.ยิ่งลักษณ์)ก็เริ่มเลี่ยงที่จะตอบคำถามอย่างตรงๆ พอเราเห็นว่าเขาคงยังไม่อยากตอบคำถามนี้ เราก็ถามในประเด็นอื่นที่มันอยู่ในขอบเขตเดียวกันก็คือเรื่อง ครม.เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ที่มันก็มีความกังวลมาจากทางรองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ในขณะนั้นว่าตัวคนที่มาเป็นรัฐมนตรีคลัง อาจจะมีความเชี่ยวชาญแค่เรื่องของตลาดเงินตลาดทุน และไม่มองเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งจะเกิดปัญหาได้ในการวางนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่เข้ามา เพราะฉะนั้นคำถามก็ง่ายมาก ก็คือ “การที่เอาคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดเงินตลาดทุน แต่อาจจะขาดมุมมองเรื่องเศรษฐกิจมหภาค จะทำอย่างไรให้เกิดความมั่นใจต่อนักลงทุน?” เขาก็บอกว่า “เรื่องนี้อย่าเพิ่งไปกังวล รอดูที่ปรึกษาก่อน” คำถามต่อไปก็เลยถามว่าในเมื่อมีการตั้งตัว รมต. ไม่มีความมั่นใจในตัว รมต.ที่จะทำงาน แสดงว่ารัฐมนตรีเนี่ยมือไม่ถึงหรือเปล่า ถึงต้องรอที่ปรึกษา?” เขาก็เริ่มที่จะเดินหนีแล้ว”
ได้ฟังคำถามของ น.ส.สมจิตต์แต่ละคำถามแล้ว คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ทุกคำถามล้วนอยู่ในความสงสัยของสาธารชน การถามของนักข่าวจึงเท่ากับถามแทนประชาชน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่อยากตอบ ขณะที่คนเสื้อแดงก็ไม่พอใจและแสดงออกอย่างที่เป็นข่าว
ทั้งนี้ น.ส.สมจิตต์ ยังฝากถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยว่า เมื่อได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาเป็นผู้นำประเทศ ก็ควรจะซื่อสัตย์กับคนไทย ซื่อตรงในสิ่งที่ตัวเองได้หาเสียงไว้ เพราะหากไม่ซื่อตรง แล้วจะให้ความมั่นใจกับประชาชนได้อย่างไรว่าจะมีความซื่อสัตย์ต่อประเทศ และว่า ความสงสัยของสังคมที่มีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่อคติ แต่เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง โดยเฉพาะกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยตอบคำถามด้วยซ้ำไปว่า 49 วันบนเส้นทางการเมือง ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่คนตระกูลชินวัตร ไม่มีบารมีของพี่ชายหนุนหลัง วันนี้จะมีโอกาสเดินเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ดังนั้นคำถามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องตอบและพิสูจน์ให้สังคมเห็นก็คือ หากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ได้มา เป็นเพราะบารมีของคนที่เป็นพี่ชายแล้วละก็ วันนี้ น.ส. ยิ่งลักษณ์จะตอบแทนบุญคุณใคร ระหว่างประชาชนที่เลือกตัวเองมา หรือจะตอบแทนบุญคุณพี่ชายที่บอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นโคลนนิ่งของตนกันแน่ !!