ASTVผู้จัดการรายวัน - นักข่าวช่อง 7 รับคำขอโทษแดงส่งอีเมล์ข่มขู่ แต่ไม่ถอนแจ้งความ หวังให้เป็นคดีตัวอย่างว่าก่อนทำอะไรควรไตร่ตรองก่อน ลั่นแม้เป็นความผิดลหุโทษแต่ก็จะดำเนินการให้ถึงที่สุด พร้อมตั้งข้อสงสัยข้อความข่มขู่ใช้คำว่าครับ จึงยังไม่ปักใจเชื่อ “พรทิพย์” เป็นคนทำเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นางพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงเพชรบุรี ออกมายอมรับว่าเป็นผู้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลูกโซ่ข่มขู่ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และระบุว่าจะเดินทางมาขอโทษ น.ส.สมจิตต์ เพราะไม่มีเจตนาที่จะข่มขู่นั้น
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง น.ส.สมจิตต์ โดยได้รับคำยืนยันว่า แม้นางพรทิพย์จะกล่าวขอโทษ แต่คงไม่สามารถถอนแจ้งความได้ เพราะได้แจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ยังไม่ปักใจเชื่อว่า นางพรทิพย์จะทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากถ้อยคำที่มีลักษณะข่มขู่นั้นระบุว่า “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ เจอหน้าที่ไหนช่วยกันจัดให้หน่อยนะครับ” แสดงว่าผู้โพสต์ข้อความนี้น่าจะเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง จึงอยากให้ตำรวจสืบสวนให้ถึงต้นตอไม่อยากให้มีการตัดตอน เรื่องนี้ทางตำรวจก็แจ้งว่าหากจะสืบหาต้นตอการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ผู้เสียหาย ต้องเป็นฝ่ายยื่นเรื่องถึงกระทรวงไอซีทีเพื่อให้ตรวจสอบ
โดยตนที่จะทำหนังสือถึงกระทรวงไอซีทีเพื่อขอให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากกระทรวงไอซีทีดำเนินการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ากระทรวงไอซีที พร้อมที่จะคุ้มครองประชาชน จากการกระทำผิดผ่านโลกออนไลน์
“ถือเป็นเรื่องดีที่คุณพรทิพย์ออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ และดิฉันก็รับคำขอโทษจากคุณพรทิพย์ที่พูดผ่านสื่อแล้ว ดังนั้น คุณพรทิพย์คงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาขอโทษด้วยตัวเอง เพราะในที่สุดก็จะต้องได้พบกันที่สถานีตำรวจอยู่แล้ว โดยในวันจันทร์นี้จะไปสอบถามความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากคุณพรทิพย์ได้ออกมารับสารภาพ มีหลักฐานเป็นคำสัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวช่วงเย็นของช่อง 7 ในวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงอยากให้ทางตำรวจได้ดำเนินการตามกฎหมาย ด้วยการเชิญคุณพรทิพย์มาให้ปากคำเพื่อสอบสวนและดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป” น.ส.สมจิตต์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมจึงยังดำเนินคดีต่อโดยไม่ถอนแจ้งความ ทั้งที่อีกฝ่ายกล่าวคำขอโทษแล้ว น.ส.สมจิตต์กล่าวว่า ต้องการให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างว่า ก่อนที่ใครจะทำอะไรก็ตามควรจะไตร่ตรองก่อนว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดกฎหมายหรือไม่ ละเมิดสิทธิของคนอื่นหรือเปล่า เพราะเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าเสียใจและไม่มีเจตนา ซึ่งหากนางพรทิพย์ มีสติยั้งคิด เคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่นการกระทำผิดในลักษณะนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
“คดีข่มขู่ทำให้เกิดความหวาดกลัว เป็นคดีลหุโทษ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 พัน หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้จะเป็นโทษเบา แต่ก็จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะปัญหาของสังคมไทยวันนี้เกิดจากคนในสังคมไม่เคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น
นอกจากนี้ กรณีการฟอเวิร์ดเมลครั้งนี้ ไม่มีใครทราบว่ามีผู้ได้รับข้อความข่มขู่ดังกล่าวกี่ราย เพราะเพียงแค่การส่งก้อนเดียวที่ปรากฏออกมาก็มีการส่งถึงผู้รับในครั้งนี้แล้ว 47 ราย การเผยแพร่ต่อจึงอาจเป็นพันแล้วในขณะนี้ เพราะคนที่ได้รับก็จะส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จึงไม่ใช่การส่งเป็นการภายในตามที่คุณพรทิพย์กล่าวอ้าง และเราไม่มีทางทราบเลยว่าคนเหล่านั้น จะมีความรู้สึกผิดเสียใจเหมือนคุณพรทิพย์ หรือเจอหน้าดิฉันแล้วจะจัดให้ตามข้อความปลุกระดมนั้น คำขอโทษของคุณพรทิพย์ จึงไม่ใช่หลักประกันว่าดิฉันจะปลอดภัยจากผลกระทบที่เกิดจากอีเมลดังกล่าว” น.ส.สมจิตต์ กล่าว
น.ส.สมจิตต์ยังกล่าวขอบคุณองค์กรสื่อที่ออกแถลงการณ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน พร้อมกับฝากให้ผู้บริหารองค์กรสื่อได้พิจารณาเพิ่มเติมว่ายังสามารถดำเนินการอย่างอื่นมากกว่าการออกแถลงการณ์เพียงอย่างเดียวหรือไม่ เพราะในยุคที่สังคมมีความขัดแย้งสูง การทำงานของสื่อมวลชนก็จะมีความยากและเสี่ยงมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นนอกจากสื่อมวลชนจะใช้สิทธิในการปกป้องตัวเองผ่านการดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว น่าจะมีความคุ้มครองตามหลักวิชาชีพที่มีผลในทางกฎหมายเพิ่มเติม เพี่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานมากขึ้นด้วย.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นางพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงเพชรบุรี ออกมายอมรับว่าเป็นผู้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ลูกโซ่ข่มขู่ น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และระบุว่าจะเดินทางมาขอโทษ น.ส.สมจิตต์ เพราะไม่มีเจตนาที่จะข่มขู่นั้น
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง น.ส.สมจิตต์ โดยได้รับคำยืนยันว่า แม้นางพรทิพย์จะกล่าวขอโทษ แต่คงไม่สามารถถอนแจ้งความได้ เพราะได้แจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ยังไม่ปักใจเชื่อว่า นางพรทิพย์จะทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เนื่องจากถ้อยคำที่มีลักษณะข่มขู่นั้นระบุว่า “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ เจอหน้าที่ไหนช่วยกันจัดให้หน่อยนะครับ” แสดงว่าผู้โพสต์ข้อความนี้น่าจะเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง จึงอยากให้ตำรวจสืบสวนให้ถึงต้นตอไม่อยากให้มีการตัดตอน เรื่องนี้ทางตำรวจก็แจ้งว่าหากจะสืบหาต้นตอการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ผู้เสียหาย ต้องเป็นฝ่ายยื่นเรื่องถึงกระทรวงไอซีทีเพื่อให้ตรวจสอบ
โดยตนที่จะทำหนังสือถึงกระทรวงไอซีทีเพื่อขอให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากกระทรวงไอซีทีดำเนินการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ากระทรวงไอซีที พร้อมที่จะคุ้มครองประชาชน จากการกระทำผิดผ่านโลกออนไลน์
“ถือเป็นเรื่องดีที่คุณพรทิพย์ออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ และดิฉันก็รับคำขอโทษจากคุณพรทิพย์ที่พูดผ่านสื่อแล้ว ดังนั้น คุณพรทิพย์คงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาขอโทษด้วยตัวเอง เพราะในที่สุดก็จะต้องได้พบกันที่สถานีตำรวจอยู่แล้ว โดยในวันจันทร์นี้จะไปสอบถามความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากคุณพรทิพย์ได้ออกมารับสารภาพ มีหลักฐานเป็นคำสัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวช่วงเย็นของช่อง 7 ในวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงอยากให้ทางตำรวจได้ดำเนินการตามกฎหมาย ด้วยการเชิญคุณพรทิพย์มาให้ปากคำเพื่อสอบสวนและดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป” น.ส.สมจิตต์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมจึงยังดำเนินคดีต่อโดยไม่ถอนแจ้งความ ทั้งที่อีกฝ่ายกล่าวคำขอโทษแล้ว น.ส.สมจิตต์กล่าวว่า ต้องการให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างว่า ก่อนที่ใครจะทำอะไรก็ตามควรจะไตร่ตรองก่อนว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดกฎหมายหรือไม่ ละเมิดสิทธิของคนอื่นหรือเปล่า เพราะเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าเสียใจและไม่มีเจตนา ซึ่งหากนางพรทิพย์ มีสติยั้งคิด เคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่นการกระทำผิดในลักษณะนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
“คดีข่มขู่ทำให้เกิดความหวาดกลัว เป็นคดีลหุโทษ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 พัน หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้จะเป็นโทษเบา แต่ก็จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะปัญหาของสังคมไทยวันนี้เกิดจากคนในสังคมไม่เคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น
นอกจากนี้ กรณีการฟอเวิร์ดเมลครั้งนี้ ไม่มีใครทราบว่ามีผู้ได้รับข้อความข่มขู่ดังกล่าวกี่ราย เพราะเพียงแค่การส่งก้อนเดียวที่ปรากฏออกมาก็มีการส่งถึงผู้รับในครั้งนี้แล้ว 47 ราย การเผยแพร่ต่อจึงอาจเป็นพันแล้วในขณะนี้ เพราะคนที่ได้รับก็จะส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จึงไม่ใช่การส่งเป็นการภายในตามที่คุณพรทิพย์กล่าวอ้าง และเราไม่มีทางทราบเลยว่าคนเหล่านั้น จะมีความรู้สึกผิดเสียใจเหมือนคุณพรทิพย์ หรือเจอหน้าดิฉันแล้วจะจัดให้ตามข้อความปลุกระดมนั้น คำขอโทษของคุณพรทิพย์ จึงไม่ใช่หลักประกันว่าดิฉันจะปลอดภัยจากผลกระทบที่เกิดจากอีเมลดังกล่าว” น.ส.สมจิตต์ กล่าว
น.ส.สมจิตต์ยังกล่าวขอบคุณองค์กรสื่อที่ออกแถลงการณ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชน พร้อมกับฝากให้ผู้บริหารองค์กรสื่อได้พิจารณาเพิ่มเติมว่ายังสามารถดำเนินการอย่างอื่นมากกว่าการออกแถลงการณ์เพียงอย่างเดียวหรือไม่ เพราะในยุคที่สังคมมีความขัดแย้งสูง การทำงานของสื่อมวลชนก็จะมีความยากและเสี่ยงมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นนอกจากสื่อมวลชนจะใช้สิทธิในการปกป้องตัวเองผ่านการดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว น่าจะมีความคุ้มครองตามหลักวิชาชีพที่มีผลในทางกฎหมายเพิ่มเติม เพี่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานมากขึ้นด้วย.