ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้อาจเป็นการพูดไปล่วงหน้า เหมือนกับคาดหมายไปก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้ประกาศรายชื่อออกมา แต่สำหรับในช่วงปลายเดือนสิงหาคมต่อเนื่องไปถึงเดือนกันยายน เพราะถือว่าอยู่ในช่วงฤดูโยกย้ายข้าราชการ ตามปีงบประมาณที่จะเริ่มกันใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม ทำให้เวลานี้หลายหน่วยงานกำลังมีการทำบัญชีโยกย้ายกันอย่างขนานใหญ่ ซึ่งทุกปีนับเป็นช่วงเวลาสำคัญ เป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ดังนั้นเวลานี้ถือว่ากำลังอยู่ในช่วงโยกย้ายข้าราชการตามฤดูกาล!!
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สังคมกำลังสนใจอยู่ในเวลานี้ก็คือ การโยกย้ายในหน่วยงานสำคัญบางหน่วยที่มีผลในเชิงอำนาจ และมีผลในทางคดี โดยเฉพาะมีผลทางคดีต่อบุคคลสำคัญในรัฐบาล หากพูดให้ตรงไปตรงมาก็คือคดีความที่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ชินวัตร และคดีของแกนนำคนเสื้อแดง เป็นต้น เนื่องจากได้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ผิดปกติเริ่มเกิดขึ้นมาแล้ว
แน่นอนว่าหากมีความเข้าใจและติดตามสถานการณ์การเมืองมาอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องจับตาไปที่กองทัพเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมาถือว่ามีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในเชิงอำนาจมาตลอด อย่างน้อยบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ต่อเนื่องมาจนถึงการสลายเหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนเมษายน 2552 และล่าสุดเหตุการณ์จลาจลเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการเข้ามาดูแลความสงบก็คือกองทัพนั่นเอง
ไม่ว่ามองในมุมไหนขุมอำนาจในกองทัพถือว่ามีความสำคัญยิ่งยวด ย่อมมีผลต่อความอยู่รอดของรัฐบาล ดังนั้นมันช่วยไม่ได้หากมีโอกาสก็ต้องเข้าไปรื้อกันใหม่ โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่ระดับผู้นำของกองทัพลดหลั่นกันลงมา แน่นอนว่าก็ต้องเพ่งมองไปที่ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหลักว่าจะมีการเปลี่ยนไปจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนอื่นหรือไม่
หากพิจารณาเฉพาะกองทัพบกในปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่กำลังถูกจับตามองว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เมื่อพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ กลับเข้ามากุมอำนาจรัฐ และมี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีคำมั่นสัญญาจากปากของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ว่าจะไม่มีการปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งก็ต้องหมายรวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงจะไม่เข้าไปแตะต้องโผโยกย้ายในกองทัพด้วย แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่อาจสร้างความมั่นใจได้เลย เพราะล่าสุดยังมีความเคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม นั่นคือ ความพยายามในการโยกย้าย เสนาธิการทหารบก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ออกจากเส้นทางอำนาจในกองทัพ หรือต้องการให้ลดบทบาทลงไป
สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ในช่วงเหตุการณ์ปราบจลาจล พล.อ.ดาว์พงษ์ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการ “กระชับพื้นที่” ที่ราชประสงค์ มันก็ย่อมเป็นคำตอบว่าทำไมเป้าหมายเบื้องต้นต้องมุ่งมาที่นายทหารที่มาจากสาย “วงศ์เทวัญ” คนนี้ ขณะเดียวกัน คำถามก็คือ แล้วเป้าหมายหลักอีกคนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า คำตอบในตอนนี้ก็คือน่าจะยังไม่ถึงเวลา เพราะต้องใช้กำลัง “หัก” มากจนเกินไป อาจได้รับการตอบโต้ที่ไม่คาดหมายก็ได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะเข้ามาจัดแถวในกองทัพเสียแต่ต้นมือ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย เพราะที่ผ่านมา “กลุ่มบูรพาพยัคฆ์” ได้วางรากฐานไว้อย่างแน่นหนา คงไม่อาจโยกคลอนได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งเสียงใน “สภากลาโหม” ก็ยังก้ำกึ่ง หากให้ประเมินในนาทีนี้คงยังทำอะไรได้ไม่มาก
นอกจากนี้ ถ้ามองข้ามพ้นจากหน่วยงานในกองทัพ อีกหน่วยงานหนึ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งคนที่กำลังหนาวๆ ร้อนๆ ก็คงหนีไม่พ้น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ว่าจะต้องตัดใจลุกจากเก้าอี้ผู้บัญชาการเพื่อให้ พี่เมียของ ทักษิณ ชินวัตร คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ได้ถึงฝั่งฝันในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2555 หรือไม่ ซึ่งดูตามรูปการณ์แล้วคงต้องโอนอ่อน ขัดขืนลำบาก รวมไปถึงตำแหน่งระดับสำคัญอื่นๆ เช่น ตำแหน่งผู้บัญชาการภาคต่างๆ ก็คงหนีไม่พ้น
ขณะที่ ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ธาริต เพ็งดิษฐ์ เวลานี้คงเก็บกระเป๋าเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว เพราะนี่คือหนึ่งในเป้าหมายที่ “เครือข่ายทักษิณ” ได้ “หมายหัว” เอาไว้นานแล้ว
ที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นธรรมดาเมื่ออำนาจเปลี่ยนทุกอย่างก็ย่อมเปลี่ยนตาม ซึ่งเที่ยวนี้ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมไปถึงภาคใต้รับรองว่าจะต้องมีการรื้อกันขนานใหญ่ และที่สำคัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ มีพื้นฐานมาจากอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ยิ่งรู้ถึงที่มาที่ไปเป็นอย่างดี
ดังนั้นหากให้สรุปนาทีนี้ฝ่ายทักษิณ คงฉวยโอกาสในช่วงฤดูโยกย้ายใหญ่ประจำปี “ล้างบาง” ฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในหน่วยงานหลักๆ ไล่ไปตั้งแต่กองทัพ ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าจะกวาดไปได้หมดหรือเปล่าเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่ามีเพียงกองทัพเท่านั้นที่ยัง “หักด่าน” ได้ยาก ต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่ง!!