“ปานเทพ” เชื่อเพื่อไทยวางแผนค่อยๆ ละเมิดหลักนิติรัฐ เพื่อทดสอบกระแสต่อต้านจากสังคม และให้ประชาชนชาชินต่อการกระทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะรุกคืบช่วย “แม้ว” เข้าประเทศ ซัดต้องโทษประชาธิปัตย์ด้วย เหตุตอนมีอำนาจไม่จัดการปัญหาให้จบสิ้น ด้าน “อ.คมสัน” ชี้เพื่อไทยใช้โพลเป็นเครื่องมือชี้นำสังคมให้คล้อยตาม เห็นได้จากช่วงนี้โพลออกมาเยอะแบบไม่เคยมีมาก่อน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนเคาะข่าว”
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 16 ส.ค. อ.คมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง ASTV โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ
อ.คมสันกล่าวว่า หากจะพูดถึงเรื่องนิติรัฐ ไทยเราไม่เป็นมานาน พูดได้แค่ในเชิงวิชาการ และวาทกรรม นักการเมืองก็จะพูดว่ายึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่คนพูดก็ไม่เคยทำ แม้กระทั่งรัฐบาลชุดที่แล้ว เวลาพูดเรื่องนิติรัฐ ไทยมันห่างไกล หลักการพื้นฐานต้องกลับมาคุยกันให้ชัดก่อนกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย แต่นักการเมืองเราไม่เคารพกฎหมาย ฉะนั้นเวลาพูดเรื่องนี้ แค่อ้างเพื่อคุ้มครองโจร
อ.คมสันกล่าวอีกว่า เรื่องทำลายนิติรัฐประเด็นไม่ใช่แค่ที่รัฐบาลนี้ยกมา แม้แต้นโยบายที่แถลงมามันก็ห่างไกลนิติรัฐ เนื่องจากนโยบายที่เสนอต่อประชาชน เป็นในลักษณะการให้อามิสสินจ้าง มันตอบความมีเหตุมีผลในแง่ทางกฎหมายไม่ได้ มันสะท้อนถึงกิเลสของคน ในคนที่ขาดแคลนทางปัจจัย ถ้ารัฐบาลที่ดีที่ยึดหลักนิติรัฐ เมื่อทราบถึงความขาดแคลนทางปัจจัยของบุคคลทั้งหลาย สิ่งที่ตอบสนองตัวบุคคลคือ ทำอย่างไรให้เขามีปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีพ ให้เพียงพอที่เขาจะตัดสินใจได้อย่างอิสระโดยไม่มีอามิสสินจ้าง ตรงนี้ที่เป็นนิติรัฐ
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าญี่ปุ่น กรมสรรพากรไม่เก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป จะเห็นได้ว่าไม่ต้องพูดเรื่องนิติรัฐ เพราะมันไม่เคยมี ตนคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันของนักวิชาการเรา มันไม่มีอยู่บนโลกความเป็นจริง แม้เป็นเรื่องที่ดี แต่จะทำอย่างไรให้ไปถึง นั่นคือปัญหา เรื่องภาษีเมื่อเราไปดูคำพิพากษาของศาล ศาลไม่ได้บอกว่าหุ้นเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ศาลบอกว่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ เหมือนกับว่าศาลบอกว่าเป็นการอำพรางการถือหุ้น ฉะนั้นการโอนหุ้นในแง่กฎหมายมันทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นมา ซึ่งหลักการตรงนี้ต้องเสียภาษีมันก็ต้องเสีย อย่างนี้ประชาชนที่ต้องเสียจะว่าอย่างไร ทีมนุษย์เงินเดือนถูกทวงเช้าทวงเย็น แต่นี่มูลค่ามหาศาลเจ้าหน้าที่รัฐกลับไม่พูดถึงหลักการตรงนี้
เรื่องเข้าญี่ปุ่น ต้องเข้าใจว่าหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ ถือหลักต่างตอบแทน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่งางประเทศ ฉะนั้นคดีทั้งหลายโดยเฉพาะคดีอาญามันก็ใช้หลักนี้ ถึงได้มีเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าไม่มีสนธิสัญญาก็ใช้หลักถ้อยทีถ้อยอาศัย หรือต่างตอบแทน ทีนี้เมื่อเจ้าของประเทศซึ่งเป็นเจ้าของคดีบอกว่าไม่เอาความผิด ประเทศนั้นก็ต้องตอบรับ
เมื่อถามว่าถ้า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เหนือกฎหมายอย่างนี้จะไปสู่การปรองดองได้อย่างไร นายปานเทพกล่าวว่า มันเป็นไปไม่ได้ เรามีโอกาสอย่างมากในรัฐบาลที่แล้ว ที่จะทำอะไรหลายอย่างให้มันจบ ถ้ามันจบตั้งแต่รัฐบาลก่อนก็ไม่มีปัญหาในวันนี้หรอก มันสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของรัฐบาลชุดที่แล้ว เกิดความรู้สึกอย่างที่นายสนธิพูด ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และเพื่อไทย กล้าได้กล้าเสีย ส่วนประชาธิปัตย์กล้าได้แต่ไม่กล้าเสีย เช่นกรณี พ.ต.ท.ทักษิณไปญี่ปุ่น ต่างประะเทศก็เจรจารัฐต่อรัฐ เมื่อเขามีอำนาจมันจึงไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ เพราะรู้ว่าต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ตั้งคำถามกลับว่าทำไมประชาธิปัตย์ไม่ทำให้จบในกระบวนการอินเตอร์โพล ว่าเจอที่ไหนให้จับที่นั่น ฉะนั้นประชาธิปัตย์ไม่มีสิทธิกล่าวโทษรัฐบาลเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว เพราะตัวเองไม่ทำให้จบแล้วจะไปต่อว่าอะไรเขา
นายปานเทพกล่าวต่อว่า หรือกระทั่งเสื้อแดงพูดว่าต้องจ่ายค่าชดเชยผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม 10 ล้าน นี่ถือว่ากล้าได้กล้าเสียเลย พอเห็นว่าคนเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อพรรคตัวเองก็ช่วยเหลือเต็มที่ สิ่งเหล่านี้รู้อยู่แล้วว่าถ้าเพื่อไทยขึ้นมามันต้องเกิด ถ้ารัฐบาลประชาธิปัตย์ยุบสภาโดยไม่แก้ปัญหาให้จบก่อน
นายปานเทพกล่าวว่า เรื่องทบทวนการถอนตัวจากสมาชิกภาคีมรดกโลกด้วย นายอภิสิทธิ์ก็เอาภาระที่ตัวเองต้องตัดสินใจ โยนไปให้รัฐบาลหน้า จะได้ไม่ถูกครหาว่ามติครม.ชุดเดิมตัดสินใจถูกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการกลับสู่ภาคีมรดกโลกก็เกิดขึ้นได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ทำให้จบ ถึงบอกว่าในวันที่เป็นฝ่ายค้านพูดอะไรออกมาจะถูกสวนกลับ ถูกถามกลับว่าแล้วทำไมตอนอยู่ในอำนาจไม่ทำ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง
เชื่อว่าเพื่อไทยทดสอบทีละอย่าง จากเรื่องไกลตัวเช่นเรื่องเดินทางเข้าประเทศต่างๆ แล้วจะค่อยๆ ล้อมเข้ามาเรื่องในประเทศ จนคนชาชิน ไม่แปลกทำไมเอานายสุรพงษ์ มาเป็นรมว.ต่างประเทศ
“ผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าใครสักคนไปโกหกในศาลได้ ในกรณีคดีซุกหุ้น แล้วมาพูดอะไรให้ฟังอีกมันเชื่อไม่ได้หรอก ถ้าคนเคยตอแหลไปแล้ว จะเชื่อได้อย่างไรว่าเขาพูดจริงพูดเท็จ การบอกว่าทักษิณไม่เกี่ยวกับการตั้ง ครม.มันยากที่จะเชื่อ” นายปานเทพกล่าว
อ.คมสันกล่าวว่า เพื่อไทยทำการทดสอบอุณหภูมิเขาทำมาตั้งแต่ปี 51 แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นสังคมยังไม่ชาชิน มันมาเริ่มชินหลังการบริหารของประชาธิปัตย์ ที่สังคมเริ่มมองว่าทำทำไม ในเมื่อมีรัฐบาลคอยทำหน้าที่อยู่แล้ว ก็เลยไม่ขยับ แต่แล้วคนที่มีหน้าที่กลับไม่จัดการ หรือจัดการก็แค่ครึ่งเดียวแล้วทิ้งไว้ คนจำนวนหนึ่งเลยเริ่มชาชิน ดูได้จากการชุมนุมคนเสื้อแเดงคนไม่พอใจก็จริง แต่คนจำนวนมากก็มองว่ามันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องจัดการ ฉะนั้นเขาก็ทดสอบความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆรัฐบาลก็ไม่ทำอะไร คนเองพอหนักข้อเข้าก็มองแบบสิ้นหวัง ว่ารัฐบาลที่เขาคาดหวังใช้ไม่ได้ หันไปทางไหนก็ไม่ได้ ก็เลยเบื่อ คนจำนวนมากคิดแบบนี้
ตอนนี้หลังเลือกตั้งใหม่ๆ มันมีวิธีคิดเชิงพฤติกรรม-สังคมศาสตร์ ว่าการเลือกตั้งส่งผลกระตุ้นให้คนรู้สึกทางการเมือง ตอนนี้เพื่อไทยเลยต้องทดสอบว่าคนยังรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า เขาได้คำตอบหลายอย่างว่าคนไม่รับหลายเรื่อง เพียงแต่ที่แสดงออกทางหน้าสื่อหลักมันน้อย แต่ทางโลกออนไลน์เยอะ ที่สำคัญเพื่อไทยมักใช้วิธีชี้นำผ่านสื่อ คนไทยมักหลงเชื่อโพล ตนไม่เคยเห็นโพลออกเยอะอย่างนี้มาก่อน ไม่รู้ไปทำที่ไหน ใครมาตอบ ออกทุกวัน แต่พอออกมาแล้วชี้นำสังคมได้ ให้เห็นว่าคนจำนวนมากคิดแบบนั้น เราคงต้องยอมคิดตาม แต่ความจริงแล้วการทำโพล ฐานประชากรที่ถามมันไม่เยอะ ไม่ใช่ตัวบอกอย่างแท้จริง แค่เป็นการคาดการณ์
ที่สำคัญคำถามก็มักเป็นแบบล็อกไว้แล้ว เรื่องนี้เขาทำหลายช่องทาง โยนไปเรื่อยๆ ให้กระแสสร้างความชอบธรรมโดยใช้โพลเป็นเครื่องมือ ปรากฎการณ์ต่อต้านมีเยอะ แต่ออกไปสู่สังคมน้อย เนื่องจากสื่อกระแสหลักไม่ทำหน้าที่ ละเลยประเด็นหลัก