เลขาฯ สมช.ยันเปลี่ยน รบ.ไม่กระทบหน้าที่ขององค์กร ย้ำดูแลด้านความมั่นคงเป็นหลัก และมีความเป็นมืออาชีพ แถมตาบอดสี จะเปลี่ยนกี่ รบ.ก็ไม่เอี่ยวการเมือง ไม่หวั่นถูกย้าย เพราะเชื่อหลักธรรมาภิบาล ย้ำอย่าดึงสถาบันมาเป็นข้ออ้างเมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมือง
วันนี้ (29 ก.ค.) ที่โรงแรมวินเซอร์ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กรณีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ที่อาจส่งผลกับนโยบายด้านความมั่นคงว่า เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องของคนในชาติ ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สมช.ได้เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ เมื่อฝ่ายการเมืองเปลี่ยนแปลง แต่ สมช. หน่วยงานความมั่นคง กองทัพและฝ่ายข่าวเป็นข้าราชการประจำ ซึ่งทำงานกับทุกรัฐบาล และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามที่ฝ่ายการเมืองได้
นายถวิลกล่าวต่อว่า หากการทำงานและการต่อสู้ทางการเมืองแบ่งสี แต่สมช.และฝ่ายความมั่นคงจะหูหนวก ตาบอดสี มองเห็นเฉพาะเรื่องความมั่นคง และทำตามกรอบของกฎหมายและอำนาจหน้าที่ ตอนที่ตนเป็นเลขาธิการ ศอฉ.เพราะกฎหมายกำหนด หากพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลและตั้งศอฉ.ตนก็ต้องรับตำแหน่งดังกล่าวอีก ตนมั่นใจว่าทุกฝ่ายมีเป้าหมายตรงกันในเรื่องความเข้มแข็งของประเทศ ในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ คิดว่าคงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงกับข้อเท็จจริง หากฝ่ายการเมืองทำงานเพื่อรักษาประโยชน์ของบ้านเมือง สมช.และฝ่ายความมั่นคงก็ร่วมมือด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาต้องว่ากันด้วยข้อเท็จจริง รัฐบาลที่จะเข้ามารักษาประโยชน์ของบ้านเมือง ทำงานร่วมกันได้โดยใช้กลไกของข้าราชการและฝ่ายความมั่นคง เพื่อบรรลุและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ สมช.เป็นมืออาชีพในการทำงานที่ตอบสนองฝ่ายการเมืองในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
นายถวิลกล่าวต่อว่า ตนทำงานด้านความมั่นคงมา 30 กว่าปี การเปลี่ยนตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากจะเกิดการโยกย้ายตามกระแสข่าวด้วยเหตุผลอื่น คงไม่มีใครพอใจ เพราะการโยกย้ายนั้นต้องมีหลักธรรมาภิบาล ย้ำว่าการทำงานของตนนั้นอยู่ในกรอบของกฎหมายเสมอ เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานตามกระบวนการและกฎหมาย ทำตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบ หากปรากฏว่าผิดต้องยอมรับและรับผิดเป็นสองเท่า
นายถวิลกล่าวถึงกรณีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า สถาบันได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่ช่วงที่ผ่านมามีการนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองและล่วงล้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองจะเกิดกลุ่มที่นำสถาบันมากล่าวอ้าง และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองระบอบนี้มีส่วนน้อย แต่เมื่อโอกาสเปิดก็จะไปแสวงหาประโยชน์เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้ง จึงจำเป็นที่ต้องแก้ไขปัญหานี้
นายถวิลกล่าวต่อว่า ตามที่พรรคเพื่อไทยจะประกาศว่าจะใช้เขตปกครองพิเศษแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่แทน ศอ.บต.นั้น ขอเรียนว่าการบริหารพื้นที่นี้ถูกบริหารในรูปแบบพิเศษมาตลอด และไม่มีพื้นที่ใดในประเทศจะใช้การบริหารแบบนี้ เพราะ ศอ.บต.นั้นไม่เคยนำไปใช้ในพื้นที่ใดเลย นอกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนคิดว่าการแก้ปัญหานี้อยู่ที่เอกภาพ ประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วม ฉะนั้นรูปแบบต่างๆ ที่เสนอขึ้นมา เช่น ทบวง เขตปกครองพิเศษหรือ ศอ.บต.นั้นสามารถทำได้ทั้งสิ้น หากไปตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย สมช.พร้อมพิจารณารูปแบบและโครงสร้างที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอ
นายถวิลกล่าวอีกว่า หากจะเปลี่ยนรูปแบบและอาจเกิดความสับสนนั้น เรื่องนี้ต้องดูกฎหมายด้วย หากรูปแบบที่พรรคเพื่อไทยเสนอขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ ก็ต้องร่างกฎหมายใหม่ แต่ทั้งนี้ควรดูว่าหากเปลี่ยนรูปแบบนั้นจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดหรือไม่ เพราะในพื้นที่ยังมีเงื่อนไขความรุนแรงและธรรมาภิบาล หากรูปแบบใหม่ที่จะออกมานั้นแก้ปัญหาได้มันก็เดินไปได้และถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งตนคงบอกในตอนนี้ไม่ได้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด