“มาร์ค” เมินเสนอชื่อชิงนายกฯ อ้างเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วคงไม่ต้องแข่ง หวัง ปธ.สภาคนใหม่ควบคุมองค์ให้เรียบร้อย ยึดข้อบังคับและใช้อย่างเป็นกลาง ชม “รองฯ โรมานอฟ” ก็ทำดี ไม่ห่วงสภามีแต่วาระแดง หวัง ปธ.กกต.โชว์ศักยภาพแดงกดดันไม่ได้ ด้าน “สุเทพ” เห็นพ้อง แนะมีวุฒิภาวะ
วันนี้ (29 ก.ค.) ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความคืบหน้าในการประชุมเปิดสภาผู้แทนราษฎร ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องของที่ประชุม ส.ส.คงจะกำหนดท่าทีกัน แต่ในความเห็นของตนนั้น เวลาที่มีพรรคการเมืองได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาไปแล้ว คงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปเสนอชื่อแข่งขัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางกฎหมายก็เปิดช่องให้ทางพรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เสนอได้ แต่เท่าที่ตนจำไม่ผิดเวลาที่มีพรรคได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วเราเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปแข่งขัน เมื่อถามว่าจะมีการประชุม ส.ส.เพื่อกำหนดท่าทีในเรื่องนี้เมื่อไหร่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า น่าจะเป็นวันจันทร์ที่ 1 ส.ค.นี้เลย ถามว่าในส่วนของประธานสภาผู้แทนราษฎร จะมีการเสนอชื่อหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะว่าต้องมีการประชุมส.ส.กันก่อน แต่ความเห็นของตนเมื่อมีพรรคการเมืองได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งอยู่แล้ว ก็ไม่ควรมีความจำเป็นอะไร
เมื่อถามว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรในภาวะเช่นนี้ ควรมีคุณสมบัติอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราหวังว่าจะได้ประธานซึ่งสามารถที่จะควบคุมการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะว่าเราอยากจะให้ภาพลักษณ์ของสภาเป็นที่ยอมรับของประชาชนให้มาก ถ้าหากมีแต่ความวุ่นวายก็จะเป็นปัญหา ซึ่งวิธีที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวายที่ดีที่สุดก็คือการยึดถือข้อบังคับ และใช้ข้อบังคับอย่างเป็นกลาง และอยากให้ประธานนั้นมีบทบาทในการกระตุ้นให้ฝ่ายบริหารได้ให้ความสำคัญกับทางสภาด้วย เมื่อถามว่า รายชื่อที่เป็นแคนดิเดตล้วนแล้วแต่มีบทบาทกับคนเสื้อแดง ตรงนี้ห่วงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใครดำรงตำแหน่งอะไรแล้ว ต้องแยกแยะให้ออกในแง่บทบาทของตนเอง ความเห็นส่วนตัว พูดด้วยความเป็นธรรมว่าตอนที่พันเอก อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ก็ทำหน้าที่ได้ดี แต่บทบาทข้างนอกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาแม้คนเสื้อแดงไม่ได้เข้าไปอยู่ในสภาแต่วาระคนเสื้อแดงก็เข้าไปอยู่ในสภา เมื่อคนเสื้อแดงเข้าไปแล้ว ห่วงหรือไม่วาระในสภาจะเป็นวาระของคนเสื้อแดง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ สภาเป็นเรื่องที่ผู้แทนคนทั้งประเทศต้องดูแลคนทั้งประเทศ ส่วนซีกรัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ขอยืนยันว่าในส่วนของฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ดูแลว่าวาระของสภาเป็นวาระของประชาชนทั้งประเทศ เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรให้พฤติกรรมของส.ส.ในสภาเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าประธานเข้มงวด กวดขันในเรื่องข้อบังคับมารยาทการประชุมก็จะช่วยได้เยอะ ปัญหาที่เกิด เพราะเริ่มปล่อยให้มีการกระทบกระทั่งต่างฝ่ายต่างทำมันก็จะลุกลามออกไป ฉะนั้น ดีที่สุดคือส่งสัญญาณว่าจะเข้มงวด กวดขันกัน
เมื่อถามว่า คนเสื้อแดง ยังกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ประกาศรับรองนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกจำคุกอยู่เป็นส.ส. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประธานยืนยันว่าไม่ให้กดดันได้ ซึ่งอยากให้ประธานได้แสดงให้เห็นว่ากดดันกันไม่ได้ เมื่อถามว่า การที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สรุปว่ากกต.ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ตกลงนปช.เป็นกกต.แทน หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เวลาเขาไปเคลื่อนไหว ดูเหมือนเขาจะตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างแทนทุกคนไปหมด แม้กระทั่งกรณีที่มีรายงานรั่วออกมาในเรื่องของกรรมการสิทธิมนุษยชน กลายเป็นว่าต้องตั้งธงก่อนว่าถ้าสรุปอย่างนี้แปลว่าผิด ซึ่งมันไม่ใช่ ต้องดูจากเอกสาร พยานหลักฐานต่างๆ ต้องเปิดโอกาสให้กรรมการสิทธิมนุษยชนทำงานโดยอิสระ
“ผมขอย้ำว่าถ้านปช. เสื้อแดง และโดยที่รัฐบาลรู้เห็นด้วย ใช้วิธีการของการกดดันอย่างนี้ มันจะไม่มีอะไรน่าเชื่อถือในที่สุด และสุดท้ายจะเกิดปฏิกิริยากลับมาว่าความไม่เป็นธรรม มันมีในสังคมและกลายเป็นว่าใครมีพวกไปกดดันก็จะได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งจะเป็นสิ่งอันตรายมาก” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากสภาพเป็นอย่างนี้ กลายเป็นว่ารัฐบาลมีเสียงที่เข้มแข็งในสภา ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงยังรักษาฐานอำนาจนอกสภา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การมีเสียงมากหรือการมีพวกที่เสียงดังมาก จะไม่ช่วยในที่สุด คิดว่าสังคมไม่ยอมรับ หากการใช้เสียงตรงนั้นเป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ชอบธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถามว่า แต่ที่ผ่านมาคนเสียงดังมักจะให้ข้อมูลที่ทำให้คนเชื่อมาแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องยังไม่จบ เมื่อถามต่อว่า การที่คนเสื้อแดงคิดว่ามีจุดแข็งทั้งในพรรคและมวลชน จะกลายเป็นจุดอ่อนในอนาคตสำหรับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่การกระทำ ตนยังเชื่อว่า ถ้าการกระทำมีเสียงมีอำนาจมาก ใช้แล้วเกิดประโยชน์กับประเทศ ก็จะเป็นการเพิ่มความเข็มแข็ง แต่ถ้าใช้ไปในทางที่ผิด ส่วนรวมเสียหาย ประชาชนเสียหาย มันจะกลับไปทำลายตนเอง
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรีว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้คุยกันในพรรคอย่างชัดเจน จึงยังไม่ทราบว่าขณะนี้สมาชิกส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไร อย่างไรก็ตามการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีแข่งขันคงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะคะแนนระหว่าง 2 พรรคห่างกันชัดเจน คงไม่จำเป็นต้องคาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามผลักดันให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาและอาจส่งผลถึงบรรยากาศการปรองดอง นายสุเทพ กล่าวว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกันเองที่จะไปตกลงกัน ตนมองว่าคนที่จะเป็นประธานสภาคนใหม่นั้น ต้องเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะ มีความสำนึกว่าต้องทำหน้าที่เป็นกลาง เป็นประธานในที่ประชุมที่ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่การจะไปพูดถึงคุณสมบัติคงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะอยู่ที่พรรคเพื่อไทยว่าจะเลือกใคร กลุ่มคนเสื้อแดงจะเอาอย่างไร ทั้งนี้รายชื่อที่ถูกเสนอออกมาทั้งหมด ประกอบไปด้วย พ.อ.อภิวันท์ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ นายวิทยา บุรณศิริ นั้น ตนคงไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไร
นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังกล่าวกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามสร้างเงื่อนไข กดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หากไม่รับรองการเป็นส.ส.ของนายจตุพร พรหมพันธ์ว่า คนเสื้อแดงจะเป็นปัญหากับประเทศไทย เป็นปัญหากับทุกหน่วย เพราะว่ามีเป้าหมายในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เพราะใช้อำนาจ ใช้กำลัง และขยายฐานออกไปเรื่อยๆ จนสามารถเกาะกุมอำนาจทั้งหมดในประเทศได้ และเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ต้องการ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะไปขมขู่กดดันส่วนต่างๆ รวมถึงกลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาตลอด มียุทธศาสตร์ร่วมกัน มียุทธวิธีที่ปฏิบัติไปสู่เป้าหมายเดียวกันชัดเจน อย่างไรก็ตามก็ต้องค่อยๆดูการบริหารของรัฐบาลไป