“มาร์ค” ไม่วิจารณ์แก๊งแดงจัดงานวันเกิด “นช.แม้ว” นำพระรูปหล่อบูรพกษัตริย์มาตั้งพร้อมรูป พ.ต.ท.ทักษิณ โยนไปถามคนที่ทำเรื่องนี้ พร้อมเรียกร้อง “เจ๊ปู” แสดงจุดยืนให้ชัดเกี่ยวกับผลกระทบสถาบัน แจง กองทัพไม่เคยของบซื้อ “เฮลิคอปเตอร์” 30 ลำ เมินเสียงวิจารณ์ซื้อเฮลิคอปเตอร์ มือ 2 เพราะงบฯ้อย จิกเพื่อไทยโจมตีตลอดสมัยเป็นฝ่ายค้านถ้าจะซื้อยุทโธปกรณ์ใหม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามการจัดงานวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 26 ก.ค.โดยมีการทำพิธีต่างๆ พร้อมกับนำเอาพระรูปหล่อบูรพกษัตริย์มาตั้งพร้อมรูป พ.ต.ท.ทักษิณ เท่าตัวจริงมาวางเหมาะสมหรือไม่ โดยกล่าวว่า มันผ่านไปแล้ว วันนี้วันที่ 27 ก.ค.แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า วิธีคิดเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่จะส่งผลอะไรต่อความมั่นคงของประเทศหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องไปถามและคุยกับคนคิดและทำแบบนี้ดีกว่า เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ควรชัดเจนในการแสดงจุดยืนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องไปถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะตนอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความชัดเจนเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น พูดไปแล้วไปว่าเพื่อเป็นการกำหนดแนวทางการเดินหน้าของระบบการเมือง ระบบการปกครอง การปรองดองน่าจะมีการพูดคุยเสีย เพราะคนเหล่านี้เป็นคนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา เขาพยายามปฏิเสธเรื่องแนวคิดคำพ้องเรื่อง “ทักษิณมหาราษฎร์” แต่เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา เลือกนำรูปกษัตริย์ที่เป็นมหาราชมาวางไว้ มีความเหมาะสมกาลเทศะหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถามเรื่องอื่นเถอะครับ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ระบุว่า การที่เฮลิคอปเตอร์ตกนั้น เป็นเพราะรัฐบาลไม่ให้งบในการจัดซื้อเครื่องใหม่ และงบประมาณในการซ่อม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่า เคยมีการขอเมื่อปี 2550 ความจริงรัฐบาลของตนพยายามดูตามความจำเป็น งบประมาณของกระทรวงกลาโหมนั้นพรรคเพื่อไทย โจมมีตลอดว่าให้งบประมาณมาก แต่ที่เราชี้แจงเพราะงบกระทรวงกลาโหมกระทบค่อนข้างมาก ในช่วงปี 2544- 2549 และเมื่อปี 2550 ในรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ที่พึ่งจะมาเพิ่มงบประมาณ พอมาถึงรัฐบาลตนสัดส่วนของกลาโหมก็เพิ่มใกล้เคียงกับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในภาคร่วมซึ่งดูตามความจำเป็น และตนหวังว่ารัฐบาลใหม่จะดูตามความจำเป็นของประเทศ อย่าใช้ความรู้สึก
ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมเสนอขอจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ใหม่จำนวน 30 ลำนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงที่ตนเป็นนายกฯไม่ได้มีการขอเรื่องนี้มาหรือถ้ามีก็มาไม่ถึง ครม.เข้าใจว่าเป็นเรื่องเดิมสมัยของ พล.อ.สุรยุทธ์ และมีการอนุมัติบางส่วนที่อาจจะเป็นส่วนน้อยในมุมมองของกองทัพ แต่บางช่วงที่ตนเข้ามาและระยะหลังก็ขอให้การจัดลำดับความสำคัญ เพราะว่าจริงๆ แล้วกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ ก็ล้วนแล้วแต่มีความต้องการปรับปรุงยุทโธปกรณ์และอาวุธ แต่การซื้อก็ลำบากเพราะเรื่องแบบนี้เป็นงบประมาณก้อนใหญ่ และงบผูกพัน จะซื้อหลายอย่างพร้อมกันก็ไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเคยบอกว่า ควรจะมีการจัดลำดับความสำคัญ และต้องการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วน เพราะก่อนหน้านี้ ค่อนข้างจะยึดสัดส่วน ว่า ถ้ากองทัพบกได้งบในสัดส่วนเท่านี้ กองทัพเรือต้องเป็นเท่านั้น ตนก็ได้คุยกับคณะรัฐมนตรี บอกว่าต่อไปทำแผนไปต้องยึดหยุ่น เพราะเวลามีการปรับปรุง หรือโครงการใหญ่ของกองทัพหนึ่ง ถ้าจะเพิ่มตามสัดส่วนทั้งหมดก็เป็นไปได้ยาก ซึ่งตอนหลังก็รับหลังการในเรื่องนี้ ทั้งนี้มีการดำเนินเพื่อที่จะกำหนดในรายละเอียดในวันข้างหน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในการขึ้นบินของอากาศยาน เขาดูตามมาตรฐานความปลอดภัย ผู้เกี่ยวข้องก็ยืนยันกับตนว่า การที่จะนำอากาศยานขึ้นแต่ละครั้ง เขาต้องมั่นใจในคุณภาพของตัวเครื่อง และตัวนักบิน อายุการใช้งานของชิ้นส่วน อายุการใช้งานของอากาศยาน เขามีมาตรฐานอยู่แล้ว และเขาก็ไม่หย่อนกว่ามาตรฐานเพราะจะไปกระทบต่อกำลังพล
“ผมย้ำอีกครั้งว่า 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นอุบัติเหตุ ซึ่งเหตุการณ์ 2 ครั้งแรก ค่อนข้างชัดว่าสภาพภูมิอากาศ และสภาพภูมิประเทศ ทำให้มองเห็นค่อนข้างชัดว่าเกิดขึ้นได้ แต่เหตุการณ์ที่ 3 ตัวเครื่องขัดข้อง หรือชิ้นส่วนมีปัญหาอันนี้ต้องมาดูรายละเอียด เพราะตนก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งบ่อย เวลาอากาศไม่ดีก็ทราบว่ามันเป็นอย่างไร มันมีความเสี่ยงอยู่แล้วแน่นอน”
เมื่อถามว่า มีเสียงวิพากษวิจารณ์ว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยมักจะซื้อของมือสองจากประเทศอื่น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องดูกำลังงบประมาณ เราเอาทุกอย่างไม่ได้ ตนเห็นเวลาเราซื้อของแพง ของใหม่ ก็จะมีเสียงต่อว่า ซึ่งเราต้องดูกำลังเงินที่เรามี ขณะเดียวกัน ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ได้มาใช้งานเหมาะสมกับมาตรฐาน แต่ถ้าเราบอกว่าจะเอาสิ่งที่ดีที่สุดเราก็ต้องยอมใช้เงินให้เยอะกับเรื่องเหล่านี้ และที่ผ่านมา ก็ถูกวิจารณ์ตลอด เพราะมีบางคนพูดในทำนองที่ว่าจำเป็นด้วยหรือในสิ่งเหล่านี้ เพราะอาจจะไม่เข้าใจว่า ภารกิจหรือการใช้การอาวุธ เพราะอาจจะไม่เข้าใจว่าภารกิจ การใช้หรือการมีอาวุธไม่ได้หมายความมีสงคราม แต่ภารกิจการรักษาความมั่นคงมีความจำเป็นในสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำความเข้าใจ
“จะเห็นได้ว่า ฝ่ายค้านยุคที่ผ่านมาวิจารณ์ตลอด ไปผูกโยงนิยายทางการเมืองด้วยซ้ำ ว่าที่งบประมาณเพิ่มขึ้น เพราะสนิทสนมกัน ซึ่งไม่จริงเลย หากนายกฯสมัคร ยังอยู่ท่านจะตอบได้ดีที่สุดเลย เพราะท่านเป็นคนยืนยันเองว่าต้องเพิ่มงบของกระทรวงกลาโหมค่อนข้างมากในปีนั้นเพราะอะไร เพื่อชดเชยกับช่วงที่มีปัญหาในช่วงที่ผ่านมา”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่กองทัพจะมีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่ม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้ทางกองทัพต้องการทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเราอยากได้ อยากจะมีตาม ที่อยากได้นั้นต้องใช้งบประมาณมหาศาล ฉะนั้น ต้องพิจารณาตามความพอดี ความสมดุล เพราะสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเองเขาก็ต้องดูว่ารับไหวแค่ไหน เพราะโครงการหรือค่าใช้จ่ายมีทั้งเรื่องจำนวนเงิน การผูกพันงบประมาณ และระยะหลังต้องมีการเจรจาที่ต่างจากการซื้อพัสดุตามระบบราชการ และไม่มีหลายเจ้าที่ทำได้หรือซื้อจากใครก็ได้ มีกระบวนการพิจารณา มีความสลับซับซ้อนพอสมควร แต่เราส่งสัญญาณชัดในรัฐบาลของตนให้จัดลำดับความสำคัญซึ่งกองทัพก็ให้ความร่วมมือ ตามสภาพข้อเท็จจริงของการเงินการคลัง อย่างปีแรกที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจก็ทราบทันทีว่ากระทรวงกลาโหมมีการปรับลดงบประมาณ